เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 ที่ประกาศยกระดับการชุมนุมหลังจากการยื่นคำขาดให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งภายใน 3 วัน แต่ไม่ได้รับการสนองตอบตามข้อเรียกร้องนั้นว่า จะทำให้การเมืองมีความเข้มข้นและรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งรัฐบาลได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครไปแล้ว ยิ่งทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมมีความชอบธรรมในการนัดชุมนุม และยกระดับการชุมนุมได้อย่างเต็มที่
เห็นจากที่แกนนำคณะราษฎร 2563 ได้ประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันนี้ (25 ต.ค.) เวลา 16:00 น. ที่สี่แยกราชประสงค์ และมีเป้าหมายในการเคลื่อนไหวไปยังสถานทูตเยอรมัน จะทำให้มีมวลชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มากยิ่งขึ้น และประกอบกับวันพรุ่งนี้มีการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ตามมาตรา 156 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปรับฟังความเห็นของสมาชิกรัฐสภา เกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 ด้วย ยิ่งทำให้สถานการณ์การเมืองมีความร้อนแรง ทั้งภายในสภาและภายนอกสภา รุมเร้ารัฐบาลอย่างรุนแรง
ถ้าหากกลุ่มผู้ชุมนุมยกระดับการชุมนุมไปปิดล้อมอาคารรัฐสภา ยิ่งสร้างปัญหาและความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในสภามีการอภิปรายญัตติที่รัฐบาลยื่นเสนอในประเด็นการขัดขวางขบวนเสด็จ ยิ่งเปิดช่องให้มีการอภิปรายโจมตี ถล่มกันไปมาทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ที่เขียนญัตติเปิดทางให้มีการอภิปรายพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ตามเนื้อหาของญัตติที่ได้เสนอต่อประธานรัฐสภาแล้ว
ส่วนตัวเห็นว่าเพื่อเป็นการดับไฟความขัดแย้งในครั้งนี้ และเป็นการถอนฟืนออกจากกองไฟ รัฐบาลน่าจะมีแนวทางแก้ปัญหา ทั้งในสภาและนอกสภาให้ได้โดยเร็วที่สุด สำหรับการเมืองนอกสภารัฐบาลควรจะตั้งโต๊ะเจรจากับกลุ่มแกนนำของผู้ชุมนุมโดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องมีความชัดเจนว่า จะแก้ไขหรือยกร่างใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน โดยการตั้ง ส.ส.ร. แล้วยุบสภาเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ส่วนภายในสภา รัฐบาลควรจะถอนญัตติออกไปปรับปรุงแก้ไข แล้วค่อยยื่นกลับมาใหม่ เพื่อไม่สร้างเงื่อนไขให้มีการอภิปรายพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ถ้ารัฐบาลตัดสินใจใช้ 2 แนวทางนี้ ก็จะเป็นการลดความรุนแรงในการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 ได้ระดับหนึ่งอย่างแน่นอน