ไม่พบผลการค้นหา
'ชัชชาติ' ชงไอเดียค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสราคาถูก นำรายได้อื่น ค่าโฆษณามาหนุนค่าโดยสารให้ถูกลง ชี้รายได้โฆษณาเชิงพาณิชย์ในพื้นที่บีทีเอส 2 ปี มูลค่า 2.1 พันล้านบาท

วันที่ 1 ก.พ. 2564 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง (รมว.) คมนาคม โพสต์เฟซบุ๊กระบุถึงอัตราค่าโดยสารใหม่ของรถไฟฟ้าบีทีเอสคงเป็นเรื่องกังวลใจของพวกเราหลายๆ คน เพราะจำนวนคนที่ใช้รถไฟฟ้าบีทีเอสก่อนโควิด มีถึงเกือบ 700,000 คนเที่ยวต่อวัน มีทางไหนไหม ที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง โดยวิธีหนึ่งที่หลายๆประเทศในโลกใช้กัน คือ เพิ่มรายได้ในส่วนของ Non-Fare

รายได้จากกิจการรถไฟฟ้าหรือ กิจการขนส่งทั่วๆไป เราอาจมีรายได้ในสองรูปแบบคือ

1. Fare Revenue รายได้จากค่าตั๋วโดยสาร

2. Non-Fare Revenue รายได้จากกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าพื้นที่ ประโยชน์จากการเชื่อมต่อสถานี

จำนวนผู้โดยสารที่ผ่านระบบมากถึง 700,000 คน-เที่ยวต่อวัน ทำให้พื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้า ในขบวนรถไฟฟ้า ราวจับ รวมถึงรอบตัวรถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งเสาโครงสร้างรถไฟฟ้า มีมูลค่าสำหรับการโฆษณาสูงมาก เราคงจะไม่เห็นพื้นที่ไหนที่มีการโฆษณามากเท่ากับพื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้าแล้ว อย่างในกรณีของ MTR ของฮ่องกง ในปี 2017 มีรายได้จาก Fare Revenue 63% และ Non-Fare Revenue 37%

ชัชชาติ ระบุว่า ในส่วนของ กทม. ตนเชื่อว่าถ้าเราบริหารจัดการให้ดี ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนให้ดี เราสามารถนำรายได้ในส่วนของ Non-Fare มาช่วยเสริมรายได้จากค่าโดยสารอีกไม่น้อยกว่า 20% จากข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เราพอจะหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบคร่าวๆ ได้ดังนี้

รายได้จากค่าโดยสารของรถไฟฟ้าบีทีเอสในส่วนสายหลักระยะทาง 23.5 กิโลเมตร (สายสุขุมวิท จากสถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุชและสายสีลม จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) ในปี 2562-2563 เก็บค่าโดยสารได้รวม 6,814.24 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้จากการโฆษณาและให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ในปี 2562-2563 สูงถึง 2,183.89 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้จากค่าโดยสาร ในอนาคตเมื่อสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดลง ถ้าเรามีการประมูลที่โปร่งใส ยุติธรรมกับทุกฝ่าย มีการนำรายได้อื่นๆ จากรถไฟฟ้ามาช่วยสนับสนุนค่าโดยสาร จะช่วยทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง