พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ โดยเฉพาะมาตรการสำหรับ 5 จังหวัด ที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดพิเศษ ว่า ไม่ใช่การล๊อกดาวน์ เพราะยังไม่ไปถึงระดับที่ต้องงดทำกิจกรรมทั้งหมด เหมือนการล๊อกดาวน์ เหมือนครั้งที่มีการระบาดรอบแรก ช่วงต้นปี 2563 แต่ทั้งนี้หากสถานการณ์ไปถึงขั้นที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ มีความจำเป็นต้องล๊อกดาวน์
ทั้งนี้รัฐบาลต้องประเมินภาพรวมของผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องของสุขภาพและเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงการดูหรือการพิจารณา หรือกำหนดเพดาน จำนวนผู้ป่วยเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบในนโยบาย แต่ทุกคนต้องช่วยกันในเวลานี้ ตามแนวทางรวมไทยสร้างชาติ ร่วมต้านโควิด-19 คือ การที่ทุกคนต้องทำให้ประเทศขับเคลื่อนไปได้อย่างยั่งยืน ด้วยการที่ทุกคนต้องเรียนรู้ ที่จะอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านความรับผิดชอบ และซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เปิดเผยข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะรัฐบาลไม่ต้องการจะโทษว่าเป็นความผิดใคร และไม่มีบทลงโทษใดๆ นอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องปิดบังข้อมูลเหล่านี้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การประกาศ 28 จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดนั้น ขอให้ประชาชนมีความระมัดระวัง ทำตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด และหากจะเดินทางข้ามจังหวัด ขอให้เป็นเหตุจำเป็นในการเดินทาง และต้องทำตามมาตรการเข้มงวด ทั้งเรื่องของการลงทะเบียนคัดกรอง การใช้แอพพิเคชั้น เช่น แอพพิเคชันหมอชนะ และไทยชนะ
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำถึงความจำเป็น ของการมีโรงพยาบาลสนาม ที่ถึงแม้จะมีการคัดค้าน แต่ต้องแก้ปัญหาด้วยการทำความเข้าใจกับประชาชน ว่าโรงพยาบาลสนามนั้น มีความจำเป็นในการแก้ปัญหาของส่วนรวม และลดปัญหาสถานที่รักษาไม่เพียงพอ และโรงพยาบาลสนามยังมีมาตรฐานโดยเฉพาะการคัดกรอง ในการดำเนินการ เช่นเดียวกับโรงพยาบาลปกติ ในการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบด้านอื่นๆ กับประชาชน
นายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า ที่ประชุม ครม. ได้อนุมัติงบประมาณ ให้กระทรวงสาธารณสุข ไปดำเนินการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด - 19 โดยปลายเดือนมีนาคมจะได้ล็อดแรก สำหรับประชาชน 4 แสนคน ส่วนเมษายน ได้อีก 1 ล้านโดส เพียงพอกับประชาชน 5แสนคน และปลายเดือนพฤษภาคม อีก 26 ล้านโดส สำหรับประชาชนอีก 13 ล้านคน โดยทั้งหมดต้องผ่านมาตรฐาน อย.ของไทยและต่างประเทศ และสั่งจองเพิ่มวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซนเนก้า 35 ล้านโดส ซึ่งจะเพียงพอกับประชาชน 66 ล้านคน โดยแบ่งฉีด 2 ครั้งต่อ 1 คนทั้งนี้เมื่อได้รับวัคซีนจะฉีดทันที และการฉีดต้องเป็นไปตามกรมควบคุมโรค กลุ่มเป้าหมายแรกเป็นบุคคลกรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับวัคซีนล็อตต่อไป จะมีการติดต่อ-จัดหาวัคซีนจากประเทศอื่นๆ เพื่อให้รวดเร็วกับควรต้องการ ทั้งนี้ วัคซีนจาก บริษัท แอวตร้าเซนเนก้า มีข้อตกลงที่จะผลิตรวมกัน กับ บริษัท สยามไบโอไซด์ ที่จะผลิตได้ปีละ 200 ล้านโดส ซึ่งจะเพียงพอทั้งประเทศ ส่วนเอกชนที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ก็เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนจัดหาวัคซีนเองได้ แต่ต้องผ่านมาตรฐาน อย.ส่วนผลข้างเคียงกับประชาชนถือว่ามีสัดส่วนที่ต่ำยอมรับได้ ซึ่งจะต้องติดตามต่อไป ยืนยัน ต้องการให้คนไทยปลอดภัย สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการจำกัดการควบคุมให้ได้โดยเร็ว นำคนป่วยมารักษาในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และย้ำว่ายามีเพียงพอ
นายกรัฐมนตรี ยังมอบหมายให้ สุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลัง ไปหามาตรการเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการ และผู้ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ให้ได้ภายใน 2 เดือน ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่น การกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันนั้น ได้หารือกันผู้ประกอบการและสมาคมที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อไม่ให้เก็บเงินกับประชาชน แต่ขอให้ยืดการใช้บริการออกไปก่อน ซึ่งคาดว่าจะต้องมีมาตรการเพื่อดูแลประชาชนให้ครอบคลุมไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน ซึ่งยอมรับว่าจะต้องใช้งบประมาณ เป็นจำนวนมาก แต่ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงมีเพียงพอ เพื่อใช้ดำเนินการ
ขณะที่โครงการคนละครึ่ง ที่มีการให้ข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี นายกรัฐมนตรี ยืนยัน โครงการดังกล่าว เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือและลดภาระให้กับประชาชน โดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของภาษีใดๆ ทั้งสิ้น