POLITICS
ECONOMICS
WORLD
ENTERTAINMENT
WELL-BEING
LOCAL
NEWS
BLOG
VOICE PLAZA
TV PROGRAMS
LIVE
POLITICS
ECONOMICS
WORLD
ENTERTAINMENT
WELL-BEING
LOCAL
NEWS
BLOG
VOICE PLAZA
TV PROGRAMS
ABOUT
FAQ
CONTACT
TERM OF USE
SCHEDULE
ไม่พบผลการค้นหา
คุณกำลังอ่าน :
สรุปภาพรวมอันยากเย็นของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ปลดล็อคระบบเลือกตั้ง
Share
Tweet
Share
การเมือง
สรุปภาพรวมอันยากเย็นของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ปลดล็อคระบบเลือกตั้ง
Aug 26, 2021
( Last update Aug 26, 2021 03:39 )
รัฐสภาผ่านวาระ 2 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขระบบเลือกตั้งกลับไปเป็นแบบรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ไม่กำหนดสัดส่วนคะแนนขั้นต่ำ
‘การแก้รัฐธรรมนูญ’ เป็นประเด็นใหญ่มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 มันเป็น 1 ใน 3 ข้อเรียกร้องของม็อบที่นำโดยเยาวชน เพียงเวลาไม่ถึง 1 ปีเหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากจุดตั้งต้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ วันนี้สิ่งที่ได้คือ ระบบเลือกตั้งใหม่ เพียงประการเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเองก็อยากได้เช่นกัน เนื่องจากระบบเลือกตั้ง 2560 นอกจากจะมีช่องโหว่ที่ดู ‘มั่ว’ ในการคำนวณจำนวน ส.ส.แล้วยังทำให้พรรคใหญ่เสียเปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น
เท้าความก่อนว่า ปลายปี 2563 มีการบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมากถึง 7 ร่าง ทั้งจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และภาคประชาชนที่เป็นเวอร์ชั่นถอดรากถอนโคนอำนาจ คสช. จุดใหญ่ใจความของการแก้ไขตอนนั้นคือ ต้องการให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ผ่านการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ข้อถกเถียงสำคัญก็คือ จะล็อคไม่ให้ สสร.แก้หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือไม่
เดินทางมาจนกระทั่งรัฐสภาผ่านวาระ 1 ให้กับร่างหลัก 2 ร่างและปัดตกที่เหลือ คำตอบที่ได้มาแล้วมี 2 เรื่อง คือ (1) รัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีชัย ฤชุพันธุ์และคณะวางเงื่อนไขให้แก้ได้ยากมากที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ จะแก้ไขรายมาตราได้ง่ายขึ้น (2) จะมี สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่แต่จะไม่แก้ไข หมวด 1-2
แต่แล้วก่อนจะไปสู่วาระ 2 ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 การล้มกระดานก็เกิดขึ้น เมื่อไพบูลย์ นิติตะวัน และพวกยื่นญัตติด่วนว่าจะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านี่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับซึ่งต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ เรื่องราวอลหม่านมากเพราะฝ่ายค้านยืนยันว่านี่ไม่ใช่การร่างใหม่ แต่เป็นการแก้รายมาตราคือ ม.256 เพื่อตั้ง สสร. อีกทั้งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ผ่านวาระ 1 แล้ว เป็นอำนาจของสภาที่จะตัดสินใจไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ แม้แต่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเองก็เห็นเช่นนั้น แต่การโหวตก็ออกมาชนะอย่างสูสีเพราะมี ส.ว.สนับสนุน ในที่สุดจึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ กลางเดือนมีนาคม 2564 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยซึ่งก็สร้างความอลหม่านในการตีความอีกครั้ง โดยสร้างมาตรฐานล็อคประชามติ 2 หนทั้งก่อนและหลังการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ไม่ได้บอกชัดๆ ว่า สิ่งที่สภาพิจารณาอยู่เข้าข่ายยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ สภาถกเถียงเรื่องนี้กันอีกหลายชั่วโมง สุดท้ายมีการโหวตวาระ 3 เกิดขึ้นแต่เสียงของสภาไม่ถึงกึ่งหนึ่ง (เห็นชอบ 208 ไม่เห็นชอบ 4 เสียง งดออกเสียง 94 ไม่ลงคะแนน 136 เสียง)
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงเป็นอันตกไป
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเริ่มต้นใหม่อีกหน คราวนี้ ส.ส.ปรับเกมแก้ไขกันเพียง ‘ระบบเลือกตั้ง’ เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น มีร่างเข้าประกวด 13 ร่างและผ่านวาระแรกเพียงร่างเดียวคือ ร่างที่เสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเขียนแก้ไขไว้เพียง 2 มาตรา เรียกว่ายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์สำหรับการแก้ไขระบบเลือกตั้ง ในชั้นกรรมาธิการจึงแก้ไขเพิ่มเติมอีกหลายมาตรา แต่ก็ถูกท้วงติงว่าเป็นการแก้ไขเกินกว่าหลักการที่ผ่านในวาระแรก และทั้งพรรคก้าวไกลกับ ส.ว.ต่างก็ขู่ว่าจะส่งเรื่องนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าผิดข้อบังคับ ในที่สุด กมธ.ได้แก้ด่วนหน้างานชนิด "แก้วันนั้นส่งวันนั้น" แบบไม่เคยมีมาก่อน โดยตัดลดมาตราลงเหลือเพียง 4 มาตราสำคัญ สร้างความสับสนวุ่นวายในการอภิปรายวาระ 2 เมื่อวันที่ 24 ส.ค.ถกเถียงเรื่องนี้กันจนหมดวัน
ข้อถกเถียงสำคัญของวาระ 2 ที่เถียงกันในสภาคือ จะกลับไปใช้ระบบแบบปี 2540 ที่เรียกว่า ระบบคู่ขนาน (Parallel/ Mixed-Member Majoritarian – MMM) หรือจะใช้ระบบแบบเยอรมนีที่เรียกว่าระบบผสม (Mixed-Member Proportional – MMP)
ความเห็นที่แตกต่างในระบบเลือกตั้งหนนี้ เราไม่อาจแยกฝ่ายเป็นฝ่ายค้าน-ฝ่ายรัฐบาลได้ แต่ควรแยกเป็นพรรคขนาดใหญ่ (พลังประชารัฐ เพื่อไทย) - พรรคขนาดกลาง (ประชาธิปัตย์ ก้าวไกล) เพราะพรรคใหญ่นั้นเห็นด้วยกับระบบแบบปี 2540 ขณะที่พรรคขนาดกลางเห็นด้วยกับระบบแบบเยอรมนี
ระบบเลือกตั้งทั้ง 2 แบบใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบเหมือนกัน คือ ส.ส.แบ่งเขต (เลือกคนที่รัก) และส.ส.บัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ (เลือกพรรคที่ใช่) แต่ต่างกันที่การคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
ระบบ MMM จะคำนวณ 'แยกขาดจากกัน' ระหว่าง ส.ส.ทั้ง 2 ประเภท ซึ่งเป็นระบบที่ส่งเสริมให้เกิดการเมืองแบบพรรคขนาดใหญ่ 2 พรรคสู้กัน ข้อวิจารณ์สำคัญคือ พรรคใหญ่นอกจากจากได้ ส.ส.พื้นที่เยอะแล้ว ยังจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เยอะด้วย แต่เมื่อดูคะแนนรวมทั้งประเทศทั้งสองแบบของพรรคแล้วคำนวณ ‘ส.ส.พึงมี’ จะพบความคลาดเคลื่อนได้ที่นั่งมากเกินจริง สาทิตย์ วงศ์หนองเตย จากพรรคประธิปัตย์ ยกตัวอย่างคะแนนเลือกตั้งในปี 2544 ระบุว่า พรรคอันดับหนึ่งได้ ส.ส.ทั้งสองแบบรวม 248 ที่นั่ง ทั้งที่ดูจากคะแนนรวมควรจะได้ 203 ที่นั่ง ส่วนพรรคอันดับสองได้ ส.ส.ทั้งสองแบบ รวม 128 ที่นั่ง ทั้งดูจากคะแนนรวมควรจะได้ 132 ที่นั่ง แต่ข้อดีของระบบนี้ก็เห็นเด่นชัดดังที่ปรากฏแล้วว่า รัฐบาลที่ได้จะมีเสถียรภาพสูง สามารถผลักดันนโยบายสำคัญๆ ให้เกิดขึ้นจริงได้
ระบบ MMP ได้ชื่อว่าเป็นระบบที่จัดสรรที่นั่ง ส.ส.กับคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับใกล้เคียงกันที่สุด และเอื้ออำนวยต่อพรรคขนาดเล็ก พรรคขนาดกลางให้เติบโตสร้างความหลากหลายในพื้นที่การเมือง โดยระบบนี้จะคำนวณ ส.ส.ทั้งสองแบบแบบ ‘เชื่อมโยงกัน’ โดยดูคะแนนรวมทั้งประเทศ คำนวณว่า ส.ส. 1 คนเฉลี่ยแล้วต้องได้เสียงเท่าไร จากนั้นคำนวณ ‘ส.ส.พึงมี’ ที่พรรคนั้นๆ ควรจะได้ แล้วหักออกด้วยจำนวน ส.ส.เขตที่ได้มา ที่เหลือคือ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ปัญหาก็คือ ระบบของไทยนั้นล็อคจำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไว้คงที่ ทำให้พรรคที่ได้ ส.ส.เขตมากเกินไปจะพลอยไม่ได้ที่นั่ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แบบ 0 ที่นั่งก็มี ร่างรัฐธรรมนูญที่ดูจะแก้ปัญหานี้เพราะมีการเผื่อจำนวนเอาไว้มีอยู่ฉบับเดียวแต่ถูก สนช.โหวตตกไปคือ ร่างฉบับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณและคณะ ซึ่งกำหนดว่า ส.ส.ในสภามีไม่น้อยกว่า 425 คน แต่ไม่เกิน 475 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 250 คน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไม่น้อยกว่า 200 คนแต่ไม่เกิน 220 คน แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น 6 ภาค
ศิริกัญญา ตันสกุล จากพรรคก้าวไกล นำเสนอว่า ระบบ MMP จะช่วยให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันในสนามเลือกตั้งและเป็นผลดีระยะยาวต่อระบบสภา เพราะจะมีความหลากหลายของกลุ่มต่างๆ ที่สามารถเข้าสู่สภามากขึ้น ไม่เกิดระบบ 2 พรรคใหญ่ซึ่งเป็นบริบทสังคมการเมืองของอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน และเราควรพัฒนาระบบเลือกตั้งให้ดีขึ้น ขณะที่ชลน่าน ศรีแก้ว จากพรรคเพื่อไทยระบุว่า ระบบเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ถูกใช้มาแล้วพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ อีกทั้งการจะทำให้ระบบ MMP มีประสิทธิภาพเต็มที่ต้องไม่ล็อคจำนวนปาร์ตีลิสต์อย่างที่เป็นอยู่ จึงควรต้องมีการแก้ทั้งระบบเมื่อมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
“สิ่งที่ผมเสนอไป มันมีความชัดเจนแล้ว เราเคยผ่านการใช้มาแล้ว และผมเชื่อว่ารัฐธรรมนูญนี้อยู่ได้ไม่นาน สิ่งที่เป็นข้อเสนอดีๆ เราสามารถเขียนในรัฐธรรมนูญใหม่แบบทั้งระบบ ตอนนี้ใส่แค่นี้ ถ้าได้ มันแค่ยาทาแผล เราอยากได้ยาดีทั้งตัว แต่นี่เอามาปิดแผล ต้องเอาก่อน ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” ชลน่านกล่าว
ล่าสุด ค่ำวันที่ 25 ส.ค. รัฐสภาได้โหวผ่านวาระ 2 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วย ระบบเลือกตั้งแล้ว ผลลัพธ์คือ มี บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แบ่งเป็น ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน แนวโน้มน่าจะคล้ายกับระบบ MMM เมื่อปี 2540 ส่วนรายละเอียดต่างๆ นั้นให้ไปกำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเป็นประเด็นต้องจับตาว่ารายละเอียดหน้าตาของระบบเลือกตั้งจะออกมาตรงกับเจตนารมณ์เพียงใด
ข้อถกเถียงที่น่าสนใจแม้จะไม่ได้ออกมาเป็นมติสภาคือ มีการขอปรับสัดส่วน ส.ส.เขต กับ ปาร์ตี้ลิสต์ เป็น 350 ต่อ 150 เนื่องจากต้องการเพิ่มความสำคัญของ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่เน้นการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย กฎหมาย ส่วนเรื่องพื้นที่ควรเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มาก, มีการนำเสนอคะแนนขั้นต่ำของการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ว่า พรรคขนาดจิ๋วที่จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ต้องได้คะแนนรวม 1% ของคะแนนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง จากเดิมที่รัฐธรรมนูญ 2540 กำหนดที่ 5% ซึ่งมีผลกีดกันพรรคจิ๋วจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ร่างแก้ไขหนนี้ไม่กำหนดสัดส่วนขั้นต่ำเอาไว้เลยซึ่งอาจทำให้เกิด ‘เบี้ยหัวแตก’ เกิดพรรคเล็กพรรคน้อยจำนวนมากในสภา
หลังจากนี้อีก 15 วัน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยระบบเลือกตั้งนี้จะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 3 หากผ่านก็เป็นอันว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ความท้าทายจะอยู่ที่การสู้กันระหว่างพรรคใหญ่ พรรคขนาดกลางที่ไม่มีฐานส.ส.เขตมากนักจะมีโอกาสน้อยที่จะขยายจำนวน ส.ส.
Topic
การเมือง
,
แก้รัฐธรรมนูญ
Author
กองบรรณาธิการวอยซ์ออนไลน์
66070
Article
1241
Video
11
Blog
MOST VIEWED
READ
WATCH