แคร์รี หล่ำ ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ HKIBC สื่อท้องถิ่น เมื่อคืนวันศุกร์ ที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมาว่า หลังจากที่สหรัฐฯ มีมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินต่อคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลฮ่องกงหลายราย รวมถึงเธอด้วย ส่งผลให้เธอต้องเก็บเงินสดไว้ที่บ้านจำนวนมาก เนื่องจากไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ เธอจึงต้องใช้จ่ายเป็นเงินสด ซื้อของทุกๆ อย่าง รวมถึงรัฐบาลต้องจ่ายเงินเดือนให้เธอเป็นเงินสด เพราะไม่สามารถโอนผ่านบัญชีธนาคารได้
“คนที่นั่งตรงหน้าคุณนี้ คือผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ผู้ซึ่งไม่สามารถใช้บริการธนาคารได้ ดิฉันต้องใช้เงินสดซื้อของทุกสิ่งแทน ต้องเก็บเงินสดไว้ที่บ้านจำนวนมาก รัฐบาลยังต้องจ่ายเงินเดือนดิฉันเป็นเงินสด เพราะตอนนี้ดิฉันไม่มีบัญชีธนาคาร” แคร์รี หล่ำ กล่าวตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์
ผู้นำฮ่องกงยังกล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ลงโทษเธออย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ ถือเป็นเกียรติอย่างมาก เพราะเธอไม่ต้องการให้ปัจจัยภายนอกใด มาขัดขวางหรือล้มการทำงานเพื่อรัฐบาลได้
สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการลงโทษแคร์รี หล่ำ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลฮ่องกง 14 ราย ด้วยการอายัดบัญชีและจำกัดธุรกรรมทางการเงินตั้งแต่เดือน ส.ค. ที่ผ่านมา จากการที่รัฐบาลปักกิ่งอนุมัติให้ฮ่องกงประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า คุกคามสิทธิเสรีภาพ เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นมาตรการแข็งกร้าวที่สุดที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ลงโทษรัฐบาลฮ่องกง หลังจากที่ก่อนหน้านั้น สหรัฐฯ ได้เพิกถอนสิทธิพิเศษทางการค้าต่อฮ่องกง
สำหรับแคร์รี หล่ำ ถือเป็นหนึ่งในผู้นำรัฐบาลที่ได้รับเงินเดือนสูงที่สุดในโลก เธอมีรายได้ราว 5.2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงต่อปี เป็นเงินไทยราว 20 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 1.6 ล้านบาทต่อเดือน
การให้สัมภาษณ์นี้ ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย ซึ่งชาวฮ่องกงหลายคนต้องอาศัยในห้องแคบๆ กับเงินเก็บอันน้อยนิดที่เทียบไม่ได้กับความมั่งคั่งของเธอ เช่นเดียวกับบางฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกตว่า เงินสดจำนวนมากถูกขนไปบ้านพักของเธออย่างไร หากต้องรับเงินเดือนเป็นเงินสดแทนการผ่านบัญชีธนาคาร
ที่มา: TheGuardian