20 กรกฎาคม ที่ประชุมมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติให้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ศึกษาการปรับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดแบบเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนและเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อปรับใช้กับการควบคุมโรคระบาดในประเทศไทยได้ โดยทั้งเมืองอู่ฮั่นและเมืองซิดนีย์มีระดับความเข้มงวดของมาตรการไม่เหมือนกัน จึงทำให้ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากการล็อกดาวน์ไม่เหมือนกัน
เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย เมืองที่พบการระบาดของโควิด-19 แห่งแรก ทางการจีนจึงงัดมาตรการเข้มงวดสูงสุดอย่างการล็อกดาวน์มาประกาศใช้ทันที สำหรับโมเดลการล็อคดาวน์อู่ฮั่นนั้น นับเป็นมาตรการที่ประชาชนและทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันกัดฟันยุติทุกกิจกรรมในเมืองเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ เป็นระยะเวลากว่า 76 วันที่ประชากร 11 ล้านคนต้องอยู่กับระเบียบปฏิบัติที่แสนเข้มงวด ซึ่งผลลัพธ์ของมาตรการนี้นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงที่ไม่ถึง 100 คนต่อวัน และได้ผ่อนคลายมาตรการ ในวันที่ 8 เมษายน 2563 กระทั่งล่าสุดรัฐบาลจีนได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในเมืองแล้วกว่า 77% เป็นวัคซีนป้องกันโควิดจากซิโนฟาร์ม แต่วัคซีนดังกล่าวเป็นคนละชนิดกับที่รับรองโดยอนามัยโลกและที่ใช้ในการส่งออกต่างประเทศ
หากย้อนรอยระเบียบปฏิบัติของ “อูฮั่นโมเดล” ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2563 มาตรการล็อกดาวน์เริ่มต้นด้วยการ ส่ง SMS แจ้งเตือนประชาชนผ่านทางสมาร์ทโฟน ในเวลา 02.00 น. หลังจากนั้นจึงมีการประกาศมาตรการด้านต่าง ๆ ดังนี้
ออสเตรเลีย รัฐบาลท้องถิ่นรัฐนิวเซาท์เวลส์ ใช้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดมาแล้ว 5 ครั้ง โดยรัฐบาลประกาศใช้มาตรการบนฐานคิดที่ว่า จะพยายามลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงให้ได้วันละ 5 คนต่อวัน โดยจำนวน 5 คนนี้มีนัยยะสำคัญคือ ทำให้การแพร่ระบาดไม่เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ได้ ซึ่งในรัฐวิคตอเรียได้พิสูจน์มาแล้วว่า แม้จะปลดล็อกดาวน์ การคงจำนวนผู้ติดเชื้อให้ได้วันละ 5 คนไม่ได้ก่อให้เกิดคลัสเตอร์ใหญ่แต่อย่างใด ประการต่อมาคือ ในจำนวน 5 คน รัฐบาลท้องถิ่นสามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในการกักตัว ซึ่งอาจจะหมายความว่าผู้ติดเชื้อที่อยู่ในชุมชนอาจจะเป็นศูนย์หรือมีจำนวนน้อยมาก ซึ่งมาตรการล็อกดาวน์ของเมืองซิดนีย์จะมีความเข้มงวดแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดเชื้อ โดยทั่วไปมีข้อจำกัดดังนี้
อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลียกำลังประสบปัญหาการส่งมอบวัคซีนล่าช้า โดยปัจจุบันออสเตรเลียกำหนดแจกวัคซีนแก่ประชากรที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนพลเมืองที่อายุต่ำกว่า 40 ปี คาดว่าจะได้รับวัคซีนชนิด mRNA ในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม เป็นเหตุให้การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา(อินเดีย)โดยการล็อกดาวน์ ยังทำให้ผู้ติดเชื้อมีจำนวนสูงขึ้นอยู่ เนื่องจากออสเตรเลียใช้วัคซีนจากแอสตราเซเนกาเป็นหลัก ซึ่งมีประสิทธิภาพป้องกันสายพันธฺเดลตาได้ 92% ส่วนวัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ 96% จะส่งมอบถึงออสเตรเลียในช่วงปลายปีนี้
นอกจากโมเดลการล็อกดาวน์ของอู่ฮั่นและซิดนีย์แล้ว มีประเทศหนึ่งที่สามารถล็อกดาวน์จนสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างได้ผลคืออิตาลี ซึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้อิตาลีสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อจากหลักหมื่นมาเป็นหลักพันได้คือวัคซีน mRNA เป็นกรณีศึกษาที่ต่างจากอู่ฮั่นและซิดนีย์ที่ใช้วัคซีนประเภทเชื้อตายเป็นหลัก
อิตาลีเป็นประเทศแรกในยุโรปที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเคยเป็นสัญลักษณ์วิกฤติโควิดแห่งโลกตะวันตก จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสูงแตะหลักหมื่นเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง จนมีผู้ป่วยสะสมหลักล้านคนในประเทศ ทางการจึงใช้มาตรการล็อคดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรค โดยมีการแบ่งพื้นที่ความรุนแรงของการระบาดตามเฉดสี “โซนสีแดง (red zone)” ประชาชนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน ยกเว้นแต่ออกมาทำงานหรือเหตุผลด้านสุขภาพ ร้านค้าต่าง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นจะถูกปิด ส่วน “โซนสีส้ม (orange zone)” ประชาชนจะถูกห้ามเดินทางออกจากเมืองและแคว้นของตนเอง แต่สามารถเดินทางออกนอกบ้านได้ตามปกติ และ “โซนสีขาว(White Zone) “ คือเขตที่มีความเสี่ยงโควิดต่ำ ร้านค้าธุรกิจเปิดได้ตามปกติ แคว้นต่าง ๆ จะถูกกำหนดเป็นโซนสีแดงหรือสีส้มขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการแพร่ระบาด โดยภูมิภาคใดที่มีเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่รายสัปดาห์ มากกว่า 250 คนต่อประชากร 100,000 คน จะเข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์โซนสีแดงโดยอัตโนมัติ
มาตรการล็อคดาวน์ถูกประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 แต่จะบังคับใช้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ การล็อคดาวน์แต่ละช่วงนั้นจะเป็นช่วงเทศกาลต่างๆ อย่างเทศกาลคริสมาสต์ เทศกาลอีสเตอร์ หรือในช่วงการฉลองปีใหม่ เพื่อลดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน และประกาศใช้เป็นระยะ ๆ มาจนสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายนปี 2564 โดยมีข้อปฏิบัติที่เป็นจุดร่วมกันดังนี้
หากจำได้ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญการระบาดรอบแรก เมื่อปีที่แล้วและระบบสาธารณสุขไทยยังไม่สาหัสเช่นนี้ เราได้เห็นสภาพสถานการณ์โควิดในอิตาลีที่วิกฤตอย่างมาก ช่วงเดือนพฤศจิกายนถือเป็นจุดสูงสุดของการระบาดในอิตาลี บางโรงพยาบาลแพทย์ถึงขั้นต้องเลือกว่าจะช่วยผู้ป่วยที่มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า ในแง่การล็อคดาวน์ของอิตาลีนั้น ไม่ประสบผลสำเร็จในเรื่องของการลดสถิติผู้ติดเชื้อ เพราะจำกัดการอยู่บ้านเป็นระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น รวมถึงในบางพื้นที่ยังสามารถออกนอกบ้านทำงานได้ตามปกติ จึงส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อขึ้นลง ตามระยะของการประกาศล็อคดาวน์ เข้มงวดจึงลดพอผ่อนคลายก็เพิ่มขึ้นอีก
แต่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อิตาลีได้ปลดล็อคดาวน์และเป็นโซนสีขาวทั้งประเทศ รวมถึงยกเลิกบังคับสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่กลางแจ้งทั้ง 20 แคว้นแล้ว การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นความคืบหน้าในการควบคุมโรคโควิด-19 จากเดิมที่เคยเป็นพื้นที่ที่การแพร่ระบาดรุนแรงมากที่สุดแห่งหนึ่ง กุญแจสำคัญคือผลมาจากการเร่งกระจายวัคซีน หลังดำเนินโครงการฉีดวัคซีนในระยะแรก 5 สัปดาห์ พบว่าจำนวนผู้ป่วย ในประชากรทุกกลุ่มอายุของอิตาลีลดลงถึงร้อยละ 80 และจากข้อมูลปัจจุบันของ Our World in Data ได้รายงานว่าประชากรกว่า 44 % อิตาลีได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว ในขณะที่อีก 16 % รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส วัคซีนที่ใช้มาจากแอสตราเซเนกา ไฟเซอร์และโมเดอร์นา
จากการสำรวจโมเดลการล็อกดาวน์ของแต่ละประเทศจะเห็นได้ว่า ตัวแปรสำคัญที่สุดของการลดจำนวนผู้ติดเชื้อคือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีอิตาลี จากที่เคยเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงจนต้องล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่ง การใช้วัคซีนจากกลุ่ม mRNA ทำให้ปัจจุบันทั้งประเทศกลายเป็นโซนความเสี่ยงต่ำเกือบทั้งหมดแล้ว
ต่างจากกรณีของออสเตรเลียที่ใช้วัคซีนจากแอสตราเซเนกา ซึ่งมีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาไม่เท่าวัคซีนกลุ่ม mRNA ทำให้แม้ยังอยู่ในมาตรการล็อกดาวน์ ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็ยังเพิ่มขึ้นได้ ส่วนโมเดลการล็อกดาวน์ของเมืองอู่ฮั่น มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดพร้อมกับการตรวจเชิงรุก และที่สำคัญคือมีการใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือช่วยในการควบคุมโรคระบาด อีกทั้งการฉีดวัคซีนที่คืบหน้า ทำให้การล็อกดาวน์ประสบความสำเร็จในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง
จากกรณีตัวอย่างทั้ง 3 ประเทศ การล็อกดาวน์จึงไม่ใช่มาตรการเดียวที่จะสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ แต่จำเป็นต้องใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพร่วมด้วย หากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ศบค. ศึกษาการล็อกดาวน์จากต่างประเทศ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนรู้จากประเทศเหล่านั้นคือ การเรียนรู้ว่าวัคซีนที่ประเภทใดจะช่วยให้มาตรการล็อกดาวน์นั้นได้ผล ไม่ใช่แค่การศึกษาว่าจะใช้มาตรการกับประชาชนเข้มงวดขึ้นอย่างไรบ้าง อีกทั้งการศึกษามาตรการล็อกดาวน์ เหตุใดจึงไม่ศึกษาประเทศอิตาลีบ้าง ซึ่งทั้งการล็อกดาวน์และการกระจายวัคซีนทำได้อย่างดีจนประเทศลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องมองปัญหาในประเทศให้ถูกประเด็น และเลือกประเทศศึกษาให้ถูกกรณี
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ภายใต้มาตรการที่เข้มงวดพิเศษ(ล็อกดาวน์) ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อยังสูงขึ้นทุกวัน หากรัฐบาลไม่ประเมินการจัดหาวัคซีนผิดพลาด ประเทศไทยคงไม่ประสบกับภาวะที่มีคนตายดาษดื่นถนนหนทางเช่นนี้ ซ้ำร้ายประชาชนยังตกเป็นจำเลยความผิดพลาดของรัฐ ซึ่งมักถูกกล่าวโทษเสมอเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อสูงขึ้น ความผิดพลาดในหน้าที่ของรัฐบาลที่ไม่สามารถนำเข้าวัคซีนได้อย่างเพียงพอ วิกฤติโควิดในครั้งนี้จึงเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว หาใช่ประชาชน และความพยายามที่จะเรียนรู้การล็อกดาวน์จากประเทศอื่นย่อมไร้ประโยชน์ หากรัฐบาลไทยไม่ตระหนักว่า กุญแจสำคัญที่จะไขจำนวนผู้ติดเชื้อให้ลดลงได้คือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การบังคับประชาชนล็อกดาวน์อย่างไร้จุดหมาย
เรื่องโดย: ชินดนัย ฝังสิมมา , ชนิกานต์ มะโหรา
ตรวจโดย: ชยพล พลวัฒน์
ที่มา: Our World Data , BBC , The Local Italy , NSWGov , University of Melbourne