ไม่พบผลการค้นหา
รายการสารคดี 101 East ของสำนักข่าวอัลจาซีราอิงลิชเข้าสัมภาษณ์ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และอดีตหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ที่กำลังลี้ภัยการเมืองอยู่ในประเทศออสเตรเลีย โดย พล.ต.ต.ปวีณ ได้กล่าวถึงเบื้องหลังของคดี รวมถึงความพยายามในการแทรกแซงรูปสำนวนจากผู้มีอำนาจตั้งแต่ยุคสมัยของคณะรัฐประหาร คสช.

อัลจาซีราพูดคุย พล.ต.ต.ปวีณ ณ บ้านพักส่วนตัวบริเวณชายเมืองเมลเบิร์นของประเทศออสเตรเลีย จากอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทำคดีสืบสวนสอบสวนด้วยความซื่อตรงจนเป็นที่รู้จักของประชาชนชาวไทย ปัจจุบันนี้ พล.ต.ต.ปวีณ ทำงานเป็นแรงงานประกอบเบาะรถในโรงงานแห่งหนึ่ง สถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักว่าเขาเป็นใคร

“ถ้าคุณโทรมาหาผม ผมจะจับคุณ เพราะคุณทำเรื่องผิดกฎหมาย” พล.ต.ต.ปวีณกล่าวกับอัลจาซีราขณะที่ตนกำลังเล่าย้อนถึงสายโทรศัพท์ของผู้มีอำนาจที่พยายามเข้ามาแทรกแซงรูปคดี พล.ต.ต.ปวีณเข้ามามีบทบาทเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาตั้งแต่ปี 2558 ด้วยความพยายามในการทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อกำจัดปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย อย่างไรก็ดี พล.ต.ต.ปวีณกลับพบกับชะตากรรมที่จะส่งผลให้ชีวิตของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งต้องกลับกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง

คดีการค้ามนุษย์โรฮิงญาถูกเปิดโปงขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2558 หลังมีการพบศพชาวโรฮิงญาจำนวนหนึ่งถูกฝังอยู่ภายในป่าบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย พล.ต.ต.ปวีณได้รับมอบหมายหน้าที่จากผู้บังคับบัญชาของตนในการลงเข้ามาทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนดังกล่าว คดีนี้กลายเป็นคดีสุดท้ายในชีวิตราชการของเขา คดีที่ในตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้อยากเข้ามาทำ เพราะพอจะคาดเดาอุปสรรคและชะตากรรมของตนเองได้ดี

จากการสืบสวนสอบสวน พล.ต.ต.ปวีณพบความเชื่อมโยงของขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาทั้งจากไทย เมียนมา บังคลาเทศ และมาเลเซีย ในช่วงต้นของการสืบสวนสอบสวน ชุดทำงานของ พล.ต.ต.ปวีณ สามารถจับกุมนักธุรกิจและผู้มีอำนาจหลายราย ก่อนที่เบื้องลึกเบื้องหลังจะค่อยๆ ปรากฏมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

“ขนคนเข้ามาไม่น้อยกว่าเป็นแสนคน การขนคนเข้ามาจำนวนมากขนาดนี้ ย่อมได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ” พล.ต.ต.ปวีณกล่าวกับอัลจาซีรา “ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือองค์กรท้องถิ่นในประเทศไทยเรา” พล.ต.ต.ปวีณย้ำว่าสิ่งนี้คือความอับอายของประเทศไทย ที่ส่งชื่อเสียไปยังทั่วทุกมุมโลก

พล.ต.ต.ปวีณ ระบุกับอัลจาซีราอีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พยายามเข้ามาแทรกแซงการสืบสวนสอบสวน ด้วยการไม่ส่งสลิปการโอนเงินมูลค่านับสิบล้านบาทของกลุ่มค้ามนุษย์ที่ส่งตรงมายัง พล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จำเลยสำคัญในคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตในเรือนจำไปก่อนหน้านี้แล้ว

“จักรทิพย์อยากจะเป็น ผบ.ตร. จึงต้องการที่จะให้ทหารช่วยจักรทิพย์ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่จักรทิพย์ช่วยทหารได้ จักรทิพย์ก็จะทำ” พล.ต.ต.ปวีณระบุกับอัลจาซีรา “แม้กระทั่งการทำลายพยานหลักฐานกับผู้กระทำความผิดคดีค้ามนุษย์” อัลจาซีราระบุว่า ประเทศไทยไม่เคยมีการเล็งเป้าหมายจับกุมเจ้าหน้าที่กองทัพระดับสูงขนาดนี้มาก่อน

“วันที่เราไปขอออกหมายจับ พล.ท.มนัส คงแป้น สองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกเลยผู้พิพากษาตกใจกลัวมาก ตัวสั่นหมดเลย ถามว่าคุณไม่กลัวเหรอ คุณเป็นนักเรียนนายร้อยหรือเปล่า” พล.ต.ต.ปวีณเล่าถึงความกลัวที่ฝังรากอยู่ในประเทศไทย และจิตใจของตนเองเมื่อต้องเข้าทำคดีการค้ามนุษย์โรฮิงญา ซึ่งสัมพันธ์กันอยู่ผู้มีอำนาจระดับบนของประเทศไทย

พล.ต.ต.ปวีณ เปิดเผยกับอัลจาซีราว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ในฐานะผู้ช่วยของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์มาหาตนโดยอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตรว่าขอให้ตนช่วยเหลือให้มีการอนุญาตประกันตัว พล.ท.มนัส เมื่อเดินทางมามอบตัวแล้ว “ถ้าหากเป็นคนอื่นโทรมาผมอาจจะไม่ประหลาดใจ แต่นี่คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการปราบปราบการค้ามนุษย์โดยตรง” พล.ต.ต.ปวีณอ้างว่า พล.อ.ประวิตร และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีความพยายามในการช่วยกันปกปิดคดีดังกล่าว

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ในวันที่ พล.ท.มนัสเดินทางมามอบตัวยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกลับเปิดห้องรับรองอย่างดี รวมถึงการที่ พล.ท.มนัสได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจหาดใหญ่ สภาพของโรงพักบริเวณด้านหน้ากลับคล้ายกันกับค่ายทหาร เพราะมีรถหุ้มเกราะมาจอดหลายคัน เจ้าหน้าที่ทหารหลายนายเดินทั่วทั้งโรงพัก การคุกคามอำนาจการสืบสวนอย่างตรงไปตรงมาเริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ จากกองทัพและองคาพยพรัฐราชการไทย

“ผมถูกรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมซึ่งขณะนั้นคนที่ดำรงตำแหน่งคือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ได้เรียกไปด่าว่า ใช้กล่าวคำที่หยาบคาย” พล.ต.ต.ปวีณระบุว่า พล.อ.ไพบูลย์รู้สึกโกรธแค้น และสั่งให้ตนหยุดการจับตัวเจ้าหน้าที่กองทัพลงทันที พล.ต.ต.ปวีณกล่าวว่า องคาพยพที่ใกล้ชิดกับทหารขณะนั้นพยายามข่มขู่ตนอย่างหนัก

“คิดว่ามาจากรองนายกรัฐมนตรีก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พล.อ.ปวีณกล่าวว่า พล.อ.ประวิตรเกี่ยวข้องกับคดีการค้ามนุษย์โรฮิงญาโดยตรง “เพราะว่าคนที่ทำงานใกล้ชิดกับประวิตรทั้งนั้นที่มาเตือน สั่งให้หยุด ไม่ให้จับทหาร” จากผู้ต้องหา 91 รายในคดีดังกล่าว พล.ต.ต.ปวีณถูกบังคับให้ปิดคดีภายในช่วงเดือน ก.ย. 2558 

หลังจากนั้น พล.ต.ต.ปวีณขาดผู้ให้การสนับสนุน สอดคล้องกันกับช่วงที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพอดี หลังจากนั้นไม่ถึงสามสัปดาห์ มีคำสั่งย้าย พล.ต.ปวีณให้ไปประจำการทางภาคใต้ พล.ต.ต.ปวีณระบุว่าคำสั่งย้ายดังกล่าวไม่ต่างอะไรไปจากการส่งให้ตนไปตาย ท่ามกลางพื้นที่ที่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากคดีการค้ามนุษย์โรฮิงญา ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในพื้นที่เพื่อรอการล้างแค้นแก่ตน

“จักรทิพย์และประวิตรไม่พอใจในการทำงานของผมอยู่แล้ว” พล.ต.ต.ปวีณระบุกับอัลจาซีรา เขาปรึกษาคนสนิทก่อนได้รับคำแนะนำให้ลาออกจากราชการเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ “นั่นเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง แล้ว…” พล.ต.ต.ปวีณสะอื้นร้องไห้ออกกลางรายการ “ผมเสียใจนะครับตอนนั้น ยังไม่อยากที่จะลาออก นี่คือรางวัลที่ทำเพื่อประเทศชาติ สิ่งที่ผมได้รับรางวัลคือสิ่งนี้” พล.ต.ต.ปวีณบินออกนอกประเทศมายังออสเตรเลียก่อนข้อสถานะผู้ลี้ภัย จากความกังวลว่าตนตกอยู่ภายใต้ภยันตรายที่อาจหมายถึงชีวิตของเขา

พล.ต.ต.ปวีณเดินหน้าสัมภาษณ์สื่อต่างชาติว่าคดียังไม่สมบูรณ์ ก่อนที่ทาง พล.อ.จักรทิพย์ ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่จะได้กล่าวโจมตีว่า พล.ต.ต.ปวีณกล่าวโจมตีจนทำให้ตำรวจและทหารเสียหาย “เอาความมาขาย ทำร้ายประเทศ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ โจมตี พล.ต.ต.ปวีณ โดยกล่าวหาว่า พล.ต.ต.ปวีณแค่ไม่พอใจต่อการเลื่อนตำแหน่งของตน “จักรทิพย์เป็นคนที่บิดเบือนข้อเท็จจริงตลอด จริงๆ แล้ว เขาควรจะต้องเป็นผู้ต้องหาของผมด้วย” พล.ต.ต.ปวีณระบุ

ทั้งนี้ อัลจาซีราได้มีโอกาสเข้าสัมภาษณ์ พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และ รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรคก้าวไกล จากการเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อช่วย พล.ต.ต.ปวีณเปิดโปงผู้อยู่เบื้องหลังคดีการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาด้วย โดยรังสิมันต์ได้นำเอกสารการขอสถานะการลี้ภัยและการให้ปากคำต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่ พล.ต.ต.ปวีณยังคงเป็นหัวหน้าชุดสืบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาต่อทางการออสเตรเลียมาอภิปรายในรัฐสภาไทยเมื่อช่วง ก.พ.ที่ผ่านมา

“มันได้พูดแทนใจพี่ทุกอย่าง” พล.ต.ต.ปวีณกล่าวขอบคุณรังสิมันต์หลังจากการจบอภิปรายในรัฐสภาเมื่อช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา จนกลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอย่างเป็นวงกว้างในสังคมไทย โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นภาพขั้วตรงกันข้ามกับความเงียบงันและความพยายามในการหลบหน้าสื่อของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

อัลจาซีราระบุว่า ตนได้พยายามติดต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งหมดปฏิเสธหรือไม่ยอมตอบคำถามใดๆ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ พล.ต.ต.ปวีณกล่าวหาว่าพวกเขามีส่วนรู้เห็นกับคดีการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา

“ในบางศึกหลังจากการอภิปรายในรัฐสภาผ่านไป มันมีหลายอารมณ์ด้วยกัน มีทั้งความสุข แล้วก็มีทั้งความกังวลใจ ว่าไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต” พล.ต.ต.ปวีณระบุ “เพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีคนสนใจขนาดนี้ มันเกินความคาดหมาย” พล.ต.ต.ปวีณกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตนในออสเตรเลีย ประเทศที่รับประกันความปลอดภัยในชีวิตของเขาหลังจากความกล้าหาญในการออกมาชำระสะสางคดีการค้ามนุษย์ในไทย ประเทศที่เคยส่งจดหมายเชิญให้ พล.ต.ต.ปวีณ เดินเข้าสู่ประตูของความตายจากการเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์

อัลจาซีราระบุกับ พล.ต.ต.ปวีณว่า นายกรัฐมนตรีและตำรวจไทยระบุว่าพวกตนรับประกันความปลอดภัยหาก พล.ต.ต.ปวีณจะเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกครั้ง “ผมอยากกลับบ้าน ในความแท้จริงผมอยากกลับบ้าน แต่เมื่อพิจารณาถึงนายกรัฐมนตรีและ ผบ.ตร.ที่มีพฤติกรรมที่ผ่านมานั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น” พล.ต.ต.ปวีณกล่าวกับอัลจาซีราว่าตนจะไม่กลับประเทศไทยในเร็ววันนี้แน่นอน จากปัญหาด้านความปลอดภัย “คนที่ออกมาเปิดเผยที่อยู่ประเทศ ถูกยิงเสียชีวิตมาหลายรายแล้ว แล้วก็ไม่สามารถที่จะจับคนร้ายได้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับในยุคสมัยนี้”


รับชมสารคดี DOCUMENTARY | Thailand’s Fearless Cop | 101 East ของสำนักข่าวอัลจาซีราอิงลิชได้ทาง: https://www.youtube.com/watch?v=76hxGsXN2EI