ไม่พบผลการค้นหา
หนุ่มชาวลำปางวัย 24 ปีเจอคุก 15 วัน หลังกลับจากต่างแดนไม่ยอมกักตัวตามคำสั่งพนักงานควบคุมโรคฯ แถมยังชวนเพื่อนไปมั่วสุมที่บ้าน

วันที่ 4 เม.ย. นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เผยเเพร่กฎหมายและบทเรียนสำหรับผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตนตามคำสั่งในสถานการณ์วิกฤต ผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมภาพเอกสารคำฟ้องคดีอาญา โดยระบุว่า "ฝ่าฝืนคำสั่งไม่กักตัว โดนฟ้อง ขัง..15 วัน"

จำเลยมีเจตนาจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคซึ่งปัจจุบันมีการแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางไม่คำนึงถึงผลกระทบ และไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม จึงขอศาลได้ลงโทษจำเลยในสถานหนักด้วย (คำฟ้องของอัยการ)

แนวทางปฎิบัติในการดำเนินคดีที่มีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของอัยการสูงสุด (ที่ อส 0001/ว140 ลว. 31 มีนาคม 2563) 

ภารกิจงานอัยการสูงสุด ข้าราชการสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรับผิดชอบงานด้านระบาดวิทยาและในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558

ผู้อำนวยการโรงพยาบาล มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบงานด้านระบาดวิทยาเป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามกฏหมาย มีคำสั่งให้จำเลยในคดีนี้ที่ร่วมเดินทางมากับบุคคลที่กลับมาจากต่างประเทศกักตนเองเป็นเวลา 14 วันที่บ้านพักของจำเลย แต่จำเลยไม่กักตัวตามคำสั่ง เดินทางออกจากบ้านพักไปพบปะบุคคลอื่นภายในหมู่บ้าน และชวนคนในหมู่บ้านไปมั่วสุมที่บ้านพักที่เกิดเหตุ อัยการจึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานหนัก จนศาลมีคำสั่งให้กักขัง 15 วัน

ทั้งนี้คดีดังกล่าว พนักงานอัยการคดีศาลแขวงลำปาง เป็นโจทก์ฟ้องชาย (สงวนชื่อและนามสกุล) อายุ 24 ปี ชาวลำปาง อาชีพรับจ้าง เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด หรือเป็นผู้สัมผัสโรคหรือเป็นพาหะ ฝ่าฝืนคำสั่งเป็นหนังสือของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อที่ให้แยกกัก กักกันหรือควบคุมไว้สังเกต ณ สถานที่ซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อกำหนด

พฤติการณ์สรุปได้ว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ต.แม่มอก อ.เถิน จ.ลำปาง และเป็นคณะกรรมการดำเนินการตรวจคัดกรอง แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกต เพื่อการเฝ้าระวังป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ระดับตำบล อ.เถิน จ.ลำปาง ได้มีคำสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลที่ร่วมเดินทางมากับบุคคลที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ให้แยกกักตนเองเป็นเวลา 14 วัน ที่บ้านจำเลย นับแต่วันที่ 28 มี.ค. - 11 เม.ย. 2563

จำเลยได้ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว ต่อมาวันที่ 30 มี.ค. 2563 จำเลยได้เดินออกจากบ้านพักไปพบปะบุคคลอื่นภายในหมู่บ้าน พร้อมทั้งชักชวนคนในหมู่บ้านไปมั่วสุมที่บ้านพักของจำเลยด้วย อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับการยกเว้น 

ต่อมาวันที่ 2 เม.ย. จำเลยเข้าพบพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแก่จำเลยแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ ท้ายคำฟ้อง อัยการโจทก์ระบุว่า จำเลยมีเจตนาจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคซึ่งปัจจุบันมีการแพร่ระบาดอย่างกว้างขวางไม่คำนึงถึงผลกระทบ และไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม จึงขอศาลได้ลงโทษจำเลยในสถานหนักด้วย