ไม่พบผลการค้นหา
‘เสรีพิศุทธ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ อยู่เกิน 8 ปีไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ กู้เงินมาปรนเปรอ ‘ทหาร’ บ้าอำนาจ-ขาดวุฒิภาวะ แนะทางเลือก 3 ทาง ‘พอแล้ว-หนีไปตปท.-ถูกสังหารแบบนายกฯ ญี่ปุ่น’

วันที่ 22 ก.ค. 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล จำนวน 11 คน ในวันสุดท้าย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้อำนาจหน้าที่กู้เงินมาบริหารประเทศ แต่กลับฉ้อฉลนำเงินที่กู้ไปปรนเปรอกองทัพ เพื่อค้ำจุนอำนาจของตน โดยตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหมสูงกว่ากระทรวงอื่นๆ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ทำให้ประชาชนมีหนี้สินล้นพ้นตัว 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เล่าย้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการโปรดเกล้าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2557 ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2562 ซึ่งจะครบ 8 ปี ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 อีก 1 เดือนพอดีที่จะครบ 8 ปี เมื่อดูรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา158 ได้ระบุว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้” ไว้อย่างชัดเจน จึงทำให้มีการพูดกันว่า การดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นเป็นการดำรงตำแหน่งเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า ไม่ใช่ปัจจุบัน จะนับรวมกันไม่ได้ 

ขณะที่มาตรา 264 ระบุว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ แปลเป็นไทยคือ หลังวันที่ 23 ส.ค. 2565 ใครจะดื้อรั้นก็ไม่ได้ แม้แต่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อชัดเจนว่า นายกฯ ครบ 8 ปี กลับมาไม่ได้อีกแล้ว เว้นแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ แต่เพื่อนสมาชิกสภาฯ จะให้แก้หรือไม่ มีแต่จะไล่ เมื่อนักกฎหมายประจำตัวนายกฯ ชี้มาชัดเจนแบบนี้แล้ว ควรจะเข้าใจว่า วิษณุ ไม่ได้มีอะไรที่ทำร้าย มีอะไรก็พูดตรงไปตรงมา 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า หากนายกฯ จะดื้อรั้นอยู่ต่อไป เชื่อว่าพี่น้องประชาชนยอมรับไม่ได้ ตนลงพื้นที่หาเสียงทุกพื้นที่ในประเทศ ไม่มีใครเอา พล.อ.ประยุทธ์แม้แต่คนเดียว มีแต่ขับไล่ด่าทออยู่ตลอด วิกฤตประเทศจะเกิด และ พล.อ.ประยุทธ์ จะรับไหวรือไม่ ใครจะรับผิดชอบ ถ้าถึงวันนั้นหาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอม คงมีอะไรเกิดขึ้นให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้กันในวันนั้น 

ทั้งนี้ในการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากผ่านไปถึงวันที่ 23 ส.ค. นี้ ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย เพราะเป็นคณะรัฐมนตรีชุดเดียวกัน แม้แต่สภาผู้แทนราษฎรก็เช่นเดียวกัน เชื่อว่านักกฎหมายก็มีมาก จึงย่อมทราบสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดี หากสภาฯ ยังยอม คงต้องถือว่า สภาฯ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากทหารทั้งหมดในประวัติศาสตร์ไทยรวมแล้ว 48 ปี ซึ่งถ้ามันดีจริงๆ ประเทศไทยคงเจริญ และเป็นชาติมหาอำนาจของโลกไปแล้ว ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี กู้เงินมาแล้ว 6 ล้าน ล้านบาท กู้คนเดียวมากกว่านายกฯ ทุกคนเสียอีก ประเทศไทยเป็นหนี้รวมแล้ว 10 ล้านล้านบาท จนได้ฉายาว่า ‘นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา’ 

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ กู้มาแล้วนั้น นำไปแจกเงินให้พี่น้องประชาชน เพื่อหวังสืบทอดอำนาจ หวังที่จะได้คะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชน เอาไปหว่านในหลายๆ โครงการเช่น โครงการชิมช็อปใช้ แจกคนละ 1,000 บาท โครงการเราไปเที่ยวด้วยกัน รัฐออกส่วนลดค่าที่พักให้นั้น มันไม่มีประโยชน์ เงินไม่ได้สะพัด โครงการเที่ยวปันสุข รัฐดูแลค่าเดินทางท่องเที่ยว 40% ยุให้คนไปเที่ยวเพื่อสนับสนุนสถานบริการต่างๆ ฯลฯ พวกนี้ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเอาเงินกู้ของรัฐบาลไปแจกจ่ายให้พี่น้องประชาชน จนมีการพูดกันว่า รัฐบาลนี้บริหารประเทศบีบให้จน แล้วแจก กดให้โง่ ปลแว้ปกครอ ปล่อยให้ป่วยแล้วรักษา ใช้ภาษีรีดปลา สร้างบุญคุณ สรุปว่าเป็น ‘ฆาตกร’

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ขณะที่การจัดสรรงบประมาณนั้น ปรนเปรอแต่ทหาร จนไม่คำนึงถึงทหาร จนประชาชนไม่มีกินใช้ งบประมาณทหารนั้น ในปี 2549 ทหารมีงบประมาณ 85,000 กว่าล้านบาท และสูงเพิ่มขึ้นทุกปี จนเพิ่งมาลดลงเมื่อปี 2564 - 2565 เพราะประชาชนส่วนใหญ่โจมตีทหาร แต่อย่างไรก็ตามยังมีการนำงบประมาณไปก่อสร้างสิ่งที่ไม่จำเป็น นำบริษัทเครือญาติมาประมูลในกองทัพมากมาย 

โดยภาษีประชาชนถูกนำไปใช้เกี่ยวกับทหารมากมาย ได้แก่ ซื้ออาวุธเพื่อค้ำจุนอำนาจ ได้เงินทอนแล้วทิ้ง อีกทั้งยังซื้อเครื่องบิน BlackHawk มือ 2 จากสหรัฐฯ แทนเครื่องปลดประจำการด้วยจำนวนเงิน 3,179 ล้านบาท ด้านทหารเรือก็ซื้ออากาศยานไร้คนขับ และทหารยังมีที่บำเรอความสุขกันเยอะ เช่น สโมสรระดับกองทัพ สโมสรละหนึ่งแห่ง ด้านสวัสดิการกองทัพเมื่อเทียบกับหน่วยงานอื่นพบว่า บ้านพักทหารนั้นมีคุณภาพที่ดีกว่าหน่วยงานราชการอื่นๆ 

เมื่อนำงบประมาณของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาเทียบกับงบกระทรวงกลาโหมในช่วงปี 2557-2565 พบว่า ได้ กระทรวงกลาโหมได้งบไป 200,000 กว่าล้าน ขณะที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เพียง 24,000 ล้านบาท

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ที่ประเทศล้มเหลวเป็นเพราะผู้นำโง่ ขาดวุฒิภาวะ บ้าอำนาจ ไม่เห็นหัวประชาชน ซึ่งตนก็เห็นนายกรัฐมนตรีมาหลายคนก็ไม่เคยเห็นใครเลวทรามเท่านี้ ไปไหนก็ถูกขับไล่ ถ้าตนโดนบ้างคงไม่หน้าด้านทนอยู่ และลาออกไปนานแล้ว อีกทั้งเวลาไปลงพื้นที่แต่ละครั้งก็ต้องให้ตำรวจอารักขากว่า 2,000 นาย คิดดูว่ารัฐต้องเสียงบประมาณให้ตำรวจเหล่านั้นวันละเท่าไหร่

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เสริมว่า หากย้อนดูหลังการเลือกตั้งปี 2533 พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน หัวหน้าพรรคชาติไทยได้ไปพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เพื่อให้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจาก พล.อ.เปรม ดำรงตำแหน่งมา 8 ปีแล้ว จึงได้กล่าวว่า ผมพอแล้ว ซึ่งนี่คือนายกรัฐมนตรีที่ไม่โลภ และนึกถึงชาติบ้านเมือง 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ มี 3 ทางเลือก หากจะดื้อรั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี โดยทางเลือกแรกคือ พอแล้วแบบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือถ้าจะอยู่ต่อก็คงต้องหนีไปต่างประเทศ และทางสุดท้ายก็ต้องถูกสังหารแบบ ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ใครคิดเป็นคิดไม่เป็นก็คงดูได้จากตรงนี้ และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ตนจึงไม่อาจไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้