ไม่พบผลการค้นหา
เปิดที่มากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พร้อมมุมมองทั้งมิติด้านรัฐศาสตร์-นิติศาสตร์ พ่วงข้อเสนอทางออกจากวิกฤต

หลังจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนออกมาเปิดเผยว่า ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา คดีมาตรา 112 พุ่งสูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 165 คดี และยังมีเยาวชนอายุไม่ถึง 17 ปีถูกฟ้องร้องด้วย โดยเฉพาะช่วงปลายปี 2563-2564 ที่มีนักกิจกรรมและนักศึกษาถูกดำเนินคดีมากเป็นพิเศษ

'วอยซ์' พาย้อนไปดูมุมมองและข้อเสนอของคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) ที่เคยออกมาให้ความรู้กับสังคมตั้งแต่ช่วงปี 2554-2555 (ขณะนั้นใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2555) ว่า มาตรา 112 คืออะไร น่ากังวลอย่างไร ซึ่งปรากฏอยู่ในแผ่นพับโปสเตอร์รณรงค์ หัวข้อว่่า "8 อัปลักษณะกฎหมายหมิ่นฯ และทางออก"


1. คุ้มครองยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ

นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 ได้กำหนดให้ “องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” แสดงให้เห็นว่า มุ่งคุ้มครองตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ ซึ่งเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญอนุญาตให้ดำรงอยู่ หาได้มุ่งคุ้มครองไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันครอบคลุมไปยังตำแหน่งพระบรมวงศานุวงศ์อื่นใดอีกไม่ ขณะที่ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ขยายความผิดออกไปโดยครอบคลุมทั้ง “พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์”

นอกจากนั้น การที่มาตรา 112 เป็นการกระทำผิดทางวาจา กลับอยู่ในหมวดความมั่นคงของรัฐ ทำให้มีอัตราโทษที่รุนแรงโดยมีโทษขั้นต่ำ 3 ปี และสูงสุด 15 ปี ขณะที่ความผิดฐานก่อการร้ายซึ่งร้ายแรงระดับมนุษยชาติกฎหมายกำหนดโทษจำคุกเพียงตั้งแต่ 2 ปีถึง 10 ปี สะท้อนความไม่สมเหตุสมผลของบทบัญญัติโทษตามมาตรา 112 อีกทั้งการกระทำผิดโดยวาจา ไม่ทำให้กระทบหรือสูญสิ้นความเป็นรัฐ

ทางออก : ต้องยกเลิกมาตรา 112 แล้วให้การคุ้มครองพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์เป็นความผิดที่อยู่ต่างหากจากหมวดความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โดยนำการกระทำความผิดดังกล่าว มาอยู่ในหมวดความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยกำหนดโทษให้พอสมควรแก่เหตุ โดยนำโทษของบุคคลธรรมดาเป็นฐาน แล้วกำหนดโทษสูงกว่าบุคคลทั่วไปโดยไม่สูงเหลื่อมล้ำจนเกินไป และแยกบทลงโทษเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ออกจาก พระราชินี รัชทายาท ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ


2. เกิดใต้อุ้งเท้าเผด็จการ

มาตรา 112 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้รับการบัญญัติขึ้นโดยคณะรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 ออกคำสั่งในนามคณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดิน ยกเลิกมาตรา 112 เดิม แล้วบัญญัติ 112 ขึ้นใหม่ โดยเพิ่มโทษสูงสุดจาก 7 เป็น 15 ปี และเป็นครั้งแรกที่มีโทษขั้นต่ำของความผิดนี้ คือ "ตั้งแต่ 3 ปี" ไว้ด้วย มาตรา 112 จึงเป็น "กฎหมาย" หรือ "ผลพวง" ของคณะรัฐประหาร และขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย

ทางออก : เพื่อสร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้มั่นคงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลบล้างผลพวงอันเป็นสิ่งปฏิกูลที่เกิดเนื่องมาจากการทำรัฐประหาร และยิ่งกว่านั้่น แม้แต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โทษสูงสุดเพียง 3 ปี และไม่มีโทษขั้นต่ำ


3. ใครๆ ก็ฟ้องได้

ด้วยเหตุที่ ม.112 เป็นความผิดฐานความมั่นคง ทำให้ใครๆก็สามารถหยิบยกข้อกล่าวหานี้มาใช้กลับใครก็ได้ ขณะเดียวกันกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ก็มีแนวโน้มที่จะ "รับฟ้อง" ทุกกรณี ปรากฏเป็นปัญหาของระบบกฎหมายไทยทียัดเยียดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นของราษฎรให้เป็นอาชญากรรมต่อรัฐ ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ไม่นาน ปรากฏสถิติการดำเนินคดีในปี 2553 สูงถึง 478 คดี โดยก่อนหน้านั้นมีไม่ถึง 10 คดีต่อปี

ทางออก : ต้องจำกัดตัวบุคคลมีอำนาจผู้ฟ้องคดีให้มีความชัดเจน สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งในทางกฏหมายมีลักษณะเป็น "กรม" ซึ่งสำนักราชเลขาธิการก็มีหน่วยงานในสังกัด คือ "กองนิติกร" ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว ตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติในกฎหมาย ใช้งบประมาณแผ่นดินของราษฎรตามพระราชบัญญัติ ฉะนั้น สำนักราชเลขาธิการซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และมีหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการได้อยู่เดิมแล้ว กล่าวคือกองนิติการในสำนักราชเลขาธิการ ย่อมผูกพันโดยตรงในการริเริ่มฟ้องคดีหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ ไม่สมเหตุสมผลที่จะให้บุคคลทั่วไปร้องทุกข์กล่าวโทษตามอำเภอใจ


4.ห้ามพิสูจน์ความจริง

กฏหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา มาตรา 329 ยกเว้นความผิดถ้าเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตและติชมด้วยความเป็นธรรม ขณะที่มาตรา 330 ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็น "ความจริง" ก็ไม่ต้องรับโทษ(เว้นแต่เป็นเรื่องส่วนตัว และไม่เป็น "ประโยชน์สาธารณะ")

แต่มาตรา 112 นั้นไม่อนุญาติให้พิสูจน์ "ความจริง" ขณะที่มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญกลับรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อการดังกล่าว

ทางออก : เพิ่มเติมเหตุยกเว้นความผิด โดยกำหนดให้ "ผู้ใด ติชม แสดงความคิดเห็น หรือแสดงข้อความใดโดยสุจริตเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ทางวิชาการ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ ผู้นั้นไม่มีความผิด"


5. โทษที่ไม่เป็นธรรม

ขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชได้กำหนดความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไว้สูงสุดไม่เกิน 3 ปี แต่ปัจจุบันโทษในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกลับสูงสุดถึง 15 ปี และมีโทษขั้นต่ำ 3 ปี นั้นหมายความว่าถ้าใครถูกพิพากษาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วจะไม่มีเหตุยกเว้นการรับโทษแต่อย่างใด

ทางออก : ต้องไม่มีอัตราโทษขั้นต้่ำเพราะศาลได้ใช้ดุลยพินิจในการกำหนดโทษน้อยเพียงใดก็ได้ตามควรแก่กรณี และลดอัตราโทษให้เป็นจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับสำหรับความผิดต่อพระมหากษัตริย์และจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับสำหรับความผิดต่อพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยเทียบเคียงจากฐานของบุคคลทั่วไปในความผิดเดียวกัน


6. กระบวนการยุติธรรม

ปัจจุบันมีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นคดีความมั่นคงต่อราชอาณาจักร จึงใช้วิธีพิเศษตาม พ.ร.บ.สืบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 กฎหมายฉบับดังกล่าวได้ยกเว้นสิทธิของผู้ต้องหาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น สิทธิในการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ปัจจุบันการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเพียงข้อยกเว้นสำหรับผู้ที่มีชื่อเสียงและสถานะทางสังคม ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปมักไม่ได้รับสิทธินี้มีการกำหนดวงเงินประกันสูงเกินความสามารถ 

ทางออก : แยกความผิดออกจากความมั่นคงต่อราชอาณาจักร และแก้ไข พ.ร.บ.สืบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ให้ไม่ครอบคลุมข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


7. พิจารณาลับ

ปัจจุบันเมื่อพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ศาลอ้าง ป.พิจารณาความ อาญามาตรา 177 ที่ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ โดยอ้างเหตุ “เพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ทั้งๆ ที่การดำเนินคดีลับเป็นเรื่องที่ขัดกับหลักการพิจารณาโดยทั่วไปที่จะต้องกระทำโดยเปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถตรวจสอบกระบวนการใช้อำนาจตุลาการของศาลได้

ทางออก : ขณะที่ความผิดเกี่ยวกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นมีทั้งข้อเท็จจริง ทัศนคติ รวมทั้งเทคนิควิธีการด้วยถ้าเกี่ยวพันกับเทคโนโลยี การพิจารณาลับนั้นเป็นการโยนอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดไปให้แก่ศาลโดยปราศจากการตรวจสอบทางสาธารณะนั้น มีความเห็นต่อกระบวนการยุติธรรม ยิ่งคดีมีความซับซ้อนมากเพียงใดก็ยิ่งต้องอาศัยการพิจารณาที่โปร่งใสมากเท่านั้น การพิจารณาคดีต้องเปิดโอกาสให้จำเลยได้โต้แย้งอย่างตรงไปตรงมา และให้สื่อมวลชนเสนอข่าวการดำเนินคดีด้วย


8. อุดมการณ์กษัตริย์นิยม 

การที่ผู้พิพากษาจำนวนหนึ่งมักอ้างว่าตนเองได้ตัดสิน “ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” เมื่อต้องพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดเชานุภาพนั้น มักมีแนวโน้มว่าจะขยายการตีความออกไปให้กว้างที่สุด ดังเช่นกรณีศาลฏีกาได้พิพากษาคำปราศรัยของนายวีระ มุสิกพงศ์ ที่สมมติตนเองว่าเป็น “พระองค์เจ้าวีระ” ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งที่คนฟังทั้งหมดทราบว่าเป็นเรื่องสมมติ และไม่จำเพาะเจาะจงให้เข้าใจ้ได้ว่าเป็นบุคคลในมาตรา 112

ทางออก :  ปัญหาอุดมการณ์กษัตริย์นิยมไม่สามารถแก้ได้ด้วยกฎหมาย ดังนั้นเพื่อให้คำพิพากษามีความเที่ยงธรรมและคุ้มครองสิทธิ์ผู้ต้องหา ไม่มีการตีความเกินกว่าตัวบทเช่นที่แล้วมา จึงจำเป็นต้องสร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้มั่นคง ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนเท่าเทียมกัน โดยเริ่มต้นจากการปรับทรรศนะของตุลาการให้ลงไปพิสูจน์ความจริงในความผิดมาตรา 112 

โปสเตอร์ 112.jpgโปสเตอร์ 112.jpg

ที่มาภาพ : พิพิธภัณฑ์สามัญชน