พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวในงานเสวนา “What next for Thailand’s parliamentary opposition?” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ที่ตึกมณียาว่า ขอขอบคุณสื่อต่างประเทศทุกสำนักที่เสนอข่าวตามความเป็นจริงของประเทศไทย ทั้งนี้ประเทศไทยอยู่ในยุคมืดมาตั้งแต่เกิดการปฏิวัติในปี 2557 โดยเศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวต่ำสุดมาตลอด นักลงทุนต่างประเทศขาดความมั่นใจ พอตนออกมาเตือนและวิจารณ์ปัญหาเศรษฐกิจก็ถูกเรียกปรับทัศนคติถึง 8 หน แต่ต่อมา กลับชวนให้ตนไปร่วมตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯต่อ พอตนปฏิเสธก็ถูกดำเนินคดีในคดีทฤษฎีกบต้ม ทั้งนี้ ผู้ชุมนุมที่ออกมาคือพวกที่จะพยายามจะโดดออกจากสภาวะกบต้ม และ ขอชื่นชมนักศึกษาและนักเรียนที่ออกมาชุมนุม ซึ่งจะไม่ทำให้ไทยถอยหลังเหมือนประเทศพม่าในอดีต และเชื่อว่าประเทศจะต้องก้าวพ้นยุคมืดนี้ และก้าวหน้าต่อไปได้ และนักศึกษาได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ในการชุมนุม ซึ่งจะพัฒนาต่อไปในความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาประเทศต่อไป
ต่อมาได้เปิดให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้สอบถาม โดยได้มีสื่อต่างประเทศให้ความสนใจสอบถามหลายเรื่อง เช่นเรื่องคดีบ้านพักนายกที่จะตัดสินวันนี้ โดยนายพิชัยได้ตอบว่าคดีนี้ถ้าพลเอกประยุทธ์ถูกตัดสินผิดก็เป็นปัญหา อีกทั้งถ้ารอดไม่ถูกตัดสินว่าผิดก็จะยิ่งเป็นปัญหาเช่นกัน เพราะสังคมได้เห็นชัดแล้ว ตามที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผู้เปิดประเด็นเรื่องนี่ได้ชึ้ให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์เกษียณอายุราชการมานานแล้ว แต่ยังอยู่บ้านหลวง อีกทั้งบ้านพักดังกล่าวไม่ใช่บ้านพักชั่วคราวตามที่กล่าวอ้าง เพราะอยู่เป็นประจำ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็น รมว.กลาโหมด้วยยิ่งเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่รับผลประโยชน์เกินกว่า 3,000 บาท หนักกว่าคดีที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ โดนปลดมาแล้ว จากคดีทำอาหารออกทีวี ดังนั้นจึงต้องคอยดูว่าผลออกมาเป็นอย่างไร
เรื่องการปฏิรูปสถาบัน ซึ่งนายพิชัยได้ตอบเหมือนกับที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลักต่างประเทศ The Straits Times ว่า สถาบันมีความสำคัญกับประเทศไทยมาก พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ พรรคต้องมั่นใจว่าทุกภาคส่วนของสังคมจะยอมรับเรื่องนี้ ก่อนที่พรรคจะพูดถึงเรื่องนี้ อีกทั้งจะมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร) ขึ้นมาอยู่แล้ว ซึ่งสมาชิก สสร. จะต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และจะเป็นหน้าที่ของ สสร. นี้ ที่จะต้องนำเรื่องนี้ไปพิจารณา
สำหรับคำถามเรื่องการลาออกของคุณหญิงสุดารัตน์ จากพรรคเพื่อไทย พิชัย กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจ แต่เชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล และเคารพในสิทธิ ซึ่งพรรคการเมืองขนาดใหญ่มีคนเข้าและคนออกเป็นประจำอยู่แล้ว ทั้งนี้ยังได้เปรียบเทียบ พรรคเพื่อไทยเหมือนต้นไม้ใหญ่ ตราบใดที่ต้นไม้ยังมีรากที่ดี การผลัดใบย่อมเป็นวัฎจักรของต้นไม้ และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะแข็งแกร่งและเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยหากมีการเลือกตั้งครั้งหน้า จะชิงคะแนนเสียงจากพรรค พปชร. มาได้มากอย่างแน่นอน ทั้งนี้ไม่ได้มีความขัดแย้งกับพรรคก้าวไกล แม้จะมีฐานเสียงเดียวกัน เพราะสุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครจะทำให้มาตรฐานชีวิตของพวกเขาดีขึ้น
ในคำถามเรื่องการปฏิรูปการศึกษานั้น นายพิชัยตอบว่า หากจำกันได้พรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายหนึ่งนักเรียนหนึ่งแทบเล็ต ที่คิดมากว่า 10 ปีที่แล้ว เพื่อต้องการปฏิรูปการศึกษา อีกทั้งเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิตอลที่ขยายตัวอย่างมากในปัจจุบันที่มหาเศรษฐีของโลกร่ำรวยมาจากธุรกิจดิจิตอลและเทคโนโลยีเกือบทั้งหมด เป็นวิสัยทัศน์ของพรรคเพื่อไทยที่คิดล่วงหน้า แต่มาถูกปฏิวัติและถูกยกเลิกนโยบายนี้ไปเสียก่อน มิเช่นนั้นคงมีเด็กไทยที่จะได้ร่ำรวยจากธุรกิจนี้อีกมาก และ รมว. ศึกษาคนปัจจุบันยังอยากนำนโยบายการแจกแทบเล็ตนี้กลับมาทำใหม่ แต่ถูกต่อต้านจากพวกเดียวกันเพราะกลัวว่าจะเลียนแบบพรรคเพื่อไทยจึงต้องยกเลิกความคิดนี้ไป
พิชัย ยังกล่าวสรุปว่าประเทศไทยมีเวลา 1-2 ปีในการที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลับมาเป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกโดยเร็ว เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ การระบาดของไวรัสโควิด กลับเป็นตัวช่วยให้ประเทศไทยเพราะทำให้โลกยังต้องรอประเทศไทย มิเช่นนั้นโลกคงพัฒนาทิ้งไทยไปไกลแล้วถ้าไม่มีไวรัสโควิด เพราะถึงมีหรือไม่มีวิกฤตไวรัสโควิดเศรษฐกิจไทยก็จะยังย่ำแย่จากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อยู่แล้ว
โดยล่าสุด สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงานได้ออกมาโต้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เตือนว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายเริ่มแผ่ว โดย ธปท. ได้เสนอตัวเลขอ้างอิงชัดเจน โดย สุพัฒนพงษ์ กลับเถียงว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แผ่ว เพราะมี “คนละครึ่ง” และ “เราเที่ยวด้วยกัน” มาช่วยหนุน ซึ่งเป็นการเถียงนี้เหมือนต้องการหลอกตัวเอง และ หลอกประชาชน ทั้งนี้เพราะหาก สุพัฒนพงษ์จะไดัศึกษาและคำนวณจะพบว่า 2 นโยบายดังกล่าวมีผลต่อจีดีพีและเศรษฐกิจน้อยมาก หรืออาจจะแทบไม่มีผลเลย เป็นเพียงแค่นโยบายเด็กเล่นเพี่อชะลอความนิยมของรัฐบาลที่กำลังทรุดหนักเท่านั้น หากรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจยังไม่เข้าใจ หรือ พยายามจะหลอกตัวเอง โดยไม่ยอมรับความจริง เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดหนัก เพราะจะแก้ปัญหาไม่ถูกทาง