บิ๊นท์ - นางสาวสิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์ Miss International 2019 และนางสาวไทยปี 2562 เล่าประสบการณ์การปฏิบัติภารกิจหลังรับตำแหน่งมิสอินเตอร์เนชั่นแนล ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยการเข้าพบรัฐมนตรี 4 กระทรวงของประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ รัฐมนตรีฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศและสังคม (Ministry of State for Gender Equality) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน, ระบบสาธารณูปโภค, คมนาคมและการท่องเที่ยว (Ministry of Transportation and Communication), กระทรวงเศรษฐกิจ, การค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economics, Trade and Industry), กระทรวงการต่างประเทศ (Ministry of Foreign Affairs) และกระทรวงศึกษา,วัฒนธรรม, กีฬา, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Ministry of Education, Culture, Sports, Science and Technology) และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในฐานะคนไทยต่อผู้บริหารประเทศญี่ปุ่น เช่น ด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการอุปโภคสินค้าญี่ปุ่น และกิจกรรมวันที่สองคือการถ่ายภาพผู้ได้รับตำแหน่งและรองชนะเลิศทั้ง 4 อันดับ เพื่อจัดทำโฟโต้บุ๊กสำหรับการประกวดครั้งหน้า ซึ่งภารกิจหลังได้รับตำแหน่งค่อยข้างหนักแต่เธอก็มีความสุขกับการได้เจอกัปบะรสบการณ์ใหม่ๆ ทุกวัน
บิ๊นท์ เปิดเผยว่า หลังได้รับตำแหน่งเธอเปิดดูความคิดเห็นในโลกออนไลน์แล้วร้องไห้ เพราะเธอรู้สึกถึงสิ่งที่เธอพยายามมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เริ่มประกวดนางงามกรุงเทพฯ แล้วเริ่มมีคนวิจารณ์ แต่ยังไม่เยอะมาก จนกระทั่งได้รับตำแหน่งนางสาวไทย 2562 เธอก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น แต่ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ดี เพราะการตำหนิเหล่านี้มใันทำให้เธอได้พัฒนาตัวเอง และวันนี้เธอก็ทำให้คนเห็นได้แล้วว่าเราทำได้แล้วจริงๆ ภูมิใจมาก ชีวิตหนึ่งเราทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ ถือว่าชีวิตนี้คุ้มค่าแล้ว และหลังจากนี้ก็จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆ อีก เธอเล่าต่อว่าสิ่งที่อยากทำมากที่สุดหลังกลับเมืองไทย คือ กินส้มตำ และยำทั่วกรุงเทพฯ เพราะตอนนี้คิดถึงอาหารไทยมาก และเพื่อนๆ สาวงามที่มาเก็บตัวมักจะชื่นชมรสชาติอาหารไทยให้เธอฟังอยู่บ่อยๆ
สร้างประวัติศาสตร์เป็นตัวอย่างคนรุ่นใหม่ ภูมิใจที่ได้คว้าตำแหน่ง
สำหรับคำว่า 'สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศ' เธอยอมรับว่าภูมิใจมาก เธอเคยดูการแข่งขันกีฬาหรือประกวดนางงามสมัยเด็กๆ แล้วรู้สึกดีใจแทนผู้ชนะ รู้สึกว่าเขาเท่ แต่พอวันนี้มายืนอยู่ในจุดนี้เอง ก็รู้สึกไม่รู้จะพูดยังไง มากกว่าภูมิใจ ข้างในมีพลัง และรู้สึกดีไปหมด อยากกลับประเทศไทยไปเจอทุกคนมากว่าเธอทำให้ทุกคนได้แล้วนะ และอยากเป็นตัวอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นนางงามเหมือนเธอ แต่หากคุณมีดีอะไร ให้ตามความฝันและทำให้ดีที่สุดในแบบที่ตัวเองเป็น และหากมีคนที่มีความฝัน ทำความฝันสำเร็จ และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศและโลกได้ ประเทศเราจะมีคนเก่งๆ ในแบบของตัวเองอีกเยอะมาก และน่าอยู่ขึ้นมาก
"เราไม่จำเป็นต้องตามใคร มีอยู่ยุคหนึ่ง เด็กจะเอ็นทรานซ์ ถ้าเด็กเก่งหัวกะทิต้องเข้าคณะแพทย์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็น เราอาจจะเป็นอะไรก็ได้ ขอให้เก่งที่สุด มันจะโดดเด่นเอง"
เธอเล่าว่า เธอทำงานเป็นเภสัชกรมาหนึ่งปีหลังเรียนจบ แล้วรู้สึกว่าชีวิตทำแต่สิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ต้องทำ แล้วก็มานั่งคิดว่าจริงๆ แล้วความฝันของตัวเองคืออะไร ไม่เคยรู้เลย จนกระทั่งมานั่งทบทวนใหม่ว่าความฝันตั้งแต่เด็กจนโตของตัวเองมีอะไรบ้าง และพบว่าหนึ่งในนั้นคือ นางงาม เหมือนกับนาตาลี เกลโบวา มิสยูนิเวิร์ส 2005 และเธอก็ตัดสินใจลองทำ เดินเข้าไปสมัคร "แค่กล้าฝัน กล้าทำ ทำเลย" ได้ไม่ได้ไม่เป็นไร ต่อให้เธอไม่ประสบความสำเร็จ แต่สำหรับเธอมันคือความสำเร็จที่ได้เหยียบเข้ามาในความฝันแล้ว ส่วนที่เหลือคือกำไร แต่ถ้าเราไม่ทำคือขาดทุน
"เราแค่เป็นธรรมชาติ ดีที่สุดในแบบที่เราเป็น มันอาจจะขาดนั่น ขาดนี่ แต่นี่คือเสน่ห์ของความเป็นมนุษย์ นางงามไม่จำเป็นต้องสวยทุกอย่าง 100% เดินสวย หน้าเป๊ะ แต่ทุกอย่างต้องดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์ และเป็่นตัวตนของเรา เพราะมันคือเรา เป็นเรา เราถึงได้มา" บิ๊นท์ แชร์ประสบการณ์หลังได้รับตำแหน่ง 3 เวทีซ้อน
ไม่เคยท้อทำตามฝัน ถ้าตั้งใจทำได้เสมอ
เธอเล่าต่อว่าสำหรับเธอไม่เคยท้อเลย และเชื่อมาตลอดว่าถ้ามีความฝัน ตั้งใจทำ ก็จะทำได้เสมอ แต่ถ้าตั้งใจทำเต้มที่แล้ว กลับไม่ได้ เราต้องดูอยากอื่นด้วยว่า เราได้อะไรจากการทำครั้งนี้แล้วหรือยัง ถ้าได้ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะมันคือการเรียนรู้ เช่น เราพลาดเวทีหนึ่ง เราก็ได้ทักษะการพูด การเดิน เพื่อเอาไปต่อยอดอีกเวทีได้ ถ้าอยากเป็นนางงามจริงๆ เธอเชื่อความฝันยังไงก็สำเร็จ ยกตัวอย่าง ฟ้าใส มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 ผ่านมามาหลายเวที แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดมิสยูนิเวิร์ส และเธอก็ฝากให้คนไทยช่วยเชียร์และให้กำลังใจฟ้าใสด้วย
เธอเปิดเผยว่าการประกวดครั้งนี้ ต้องเธออุปสรรค์อย่างมาก แต่เธอจะตัดสิ่งที่ไม่สบายใจออกไปมาก สิงที่ยังจำได้ เช่น รองเท้าส้นสูงที่จะใช้ประกวดจริงบนเวทีมิสอินเตอร์เนชั่นแนลหักตั้งแต่รอบซ้อม แล้ววันพรุ่งนี้ต้องใช้จริง ก็ได้มิสมาเก๊าให้ยืมมาใส่ประกวดแทนคู่เก่า มุมหนึ่งอาจจะมองเป็นอุปสรรค์ แต่อีกมุมหนึ่งเราก็ได้เห็นมิตรภาพและแก้ปัญหาไปได้ และทุกครั้งที่เจอปัญหาเธอก็จะคิดเสมอว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ขณะเดียวกัน ส่ิงที่เธอดีใจมากที่สุด คือการเก็บตัวประกวดครั้งนี้เธอได้มิตรภาพ เพราะเธอคิดว่าตำแหน่งถ้าเราตั้งใจทำให้ดีที่สุด เดี๋ยวมันก็มา หรือถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยเราก็ได้มาเปิดโลกใหม่ สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือเอายาดมมาแจกเพื่อนๆ สาวงามและทีมงาน แล้วทุกคนใช้ยาดมแล้วสดชื่น เธอก็รู้สึกดีใจเหมือนเภสัชกรจ่ายยากแล้วคนไข้หาย
อนาคตอยากทำงานในวงการบันเทิง
อนาคตหลังจากนี้เธออยากลองทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายความฝันของเธอ ขณะที่วิชาชีพเภสัชกรก็ยังไม่ทิ้ง และอีกเรื่องหนึ่งคือเรียนภาษาอีกหลายๆ ภาษา เพราะเธอต้องการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วหลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งที่ต้องปฏิบัติภารกิจ แต่ขณะเดียวกันเธอก็อยากให้มองว่าการสื่อสาร ไม่ได้ใช้แค่คำสัพท์ แต่ยังใช้ภาษากาย ภาษาใจ และกล้าที่จะเปล่งออกไป ถ้าสื่อสารได้ก็คือจบ คนไทยที่กลัวการพูดภาษาต่างประเทศก็ไม่ต้องกลัว เธอเองไม่ได้เก่งภาษา แต่ยังได้รับการโหวตจากเพื่อนๆ ให้ได้รางวัลนางงามมิตรภาพ และผ่านการประกวดมาได้ ดังนั้นทุกคนก็ทำได้ ถ้าคิดศัทพ์ไม่ออกก็เปิดกูเกิ้ลเดี๋ยวนั้นเลย อาศัยความกล้า ถ้ากล้าพูด กล้าทำ ก็จบ
"อยากบอกว่าอยู่ข้างๆ บางคนอาจจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่เขายังไม่กล้า แค่เดินออกมา ลองเหยียบมาสักก้าว ถ้ามีก้าวแรกก็จะมีก้าวต่อไป ถ้ามันเป็นความฝันเราจริงๆ มันไม่มีทางหยุดหรอก" บิ๊นท์ ให้กำลังใจผู้ฟัง
เมื่อถามถึงเหตุผลที่เธอได้รับตำแหน่ง บิ๊นท์ เผยว่าเธอถามคณะกรรมการหลังจบการประกวดถึงเหตุผลที่เธอได้รับตำแหน่ง ซึ่งพวกเขาบอกว่า เขาจะบันทึกรายงานการทำกิจกรรมการและการเข้าสังคมของสาวงามแต่ละประเทศทุกวัน กิจกรรมแต่ละวันต้องไปเจอกับกลุ่มผู้ประกอบการต่างๆ ในประเทศ ต้องเข้าสังคมบ่อย เธอได้คะแนนส่วนนี้เยอะ ประกอบกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของคนไทย เธอมักจะมีน้ำใจกับเพื่อนสาวงาม เพราะเธอไม่ได้ตั้งใจชนะจนเกินไป ไม่ได้ต้องการเดินทางลัด แต่เดินไปตามทางและเรียนรู้สึกใหม่ๆ ระหว่างเส้นทางของการประกวด และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ คือ ทีมของเธอดี ทีมไทยไม่เคยกดดันเธอ รับฟังความคิดเห็นเธอให้เป็นแบบใคร เธอจึงได้เป็นตัวของตัวเองและมีคำแนะนำให้ปรับปรุงสิ่งที่บกพร่อง และเชื่อว่าหลังจากนี้ทีมไทยแลนด์จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น