เริ่มจากปัญหาแรก คือ น้ำท่วมในพื้นที่บางจังหวัดของภาคใต้ ทั้ง จ.สุราษฎร์ธานี, นราธิวาส, ยะลา, และพัทลุง ที่หลายอำเภอต้องจมน้ำ เนื่องจากช่วงเวลานี้ของทุกปีภาคใต้จะเจอกับคลื่นลมแรง และฝนตกหนักต่อเนื่อง จนทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายต่างๆ ของภาคใต้ล้นตลิ่งจนไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย และชาวใต้ประสบปัญหานี้มาตั้งแต่เริ่มต้นเดือน พ.ย. 2562
ทั้งนี้ หน่วยงานประจำท้องถิ่นเข้าให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยขนย้ายสิ่งของของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบให้ขึ้นที่สูง, ช่วยย้ายสัตว์เลี้ยงไปไว้ในที่ปลอดภัย, ช่วยเหลือเรื่องการอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่น้ำท่วม และช่วยเหลือด้านของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น น้ำดื่ม และถุงยังชีพ
ซ้ำร้ายพื้นที่ภาคใต้ต้องพบกับการระบาดของโรคเลปโตสไปโรซีส หรือ "โรคฉี่หนู" โรคฮิตที่มาคู่กับน้ำท่วมขัง ปีนี้ (2562) จ.สุราษฎร์ธานี พบการระบาดมากที่สุดในประเทศไทย ตามที่เขตสุขภาพที่ 11 รายงานพบผู้ป่วยแล้วเกือบ 100 ราย ซึ่งแพทย์เตือนว่า หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันทีนั้นจะสูญเสียการทำงานของอวัยวะต่างๆ นำไปสู่การสูญเสียแก่ชีวิตได้
ตั้งแต่เกิดเหตุน้ำท่วมมากินเวลาร่วม 1 เดือน เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย และมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมขอให้ประชาชนที่ประสบภัยทุกคนให้มีกำลังใจเข้มแข็ง ทุกหน่วยงานพร้อมเคียงข้างทุกคน ในวันนั้นเองนายปรีชา นวลน้อย นายอำเภอสุไหงโก-ลก รายงานว่า ที่ จ.นราธิวาส ได้รับผลกระทบ 13 อำเภอ 69 ตำบล 439 หมู่บ้าน ขณะนี้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อเร่งระบายน้ำแล้ว และระดับน้ำมีแนวโน้มลดลง
แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ จ.ยะลา เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง นายกาส เส็นโต๊ะเย็บ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝนตกในพื้นที่ของ จ.ยะลา สถานการณ์ทั่วไปยังคงปกติ ระดับน้ำในแม่น้ำปัตตานีและแม่น้ำสายบุรียังต่ำกว่าตลิ่งทุกสถานีวัด ขอให้พี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำปัตตานี แม่น้ำสายบุรี และอาศัยอยู่ในพื้นที่ลุ่ม ในพื้นที่ จ.ยะลา บริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ฝนที่ตกสะสม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และในพื้นที่เสี่ยงภัยพร้อมทั้งขอให้เฝ้าระวังดินโคลนถล่ม เตรียมเก็บข้าวของตั้งไว้บนที่สูง อพยพสัตว์เลี้ยง และติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด แต่ยังคงเฝ้าระวังและติดตามตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
ต่อจากปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ที่ยังดำเนินอยู่ต่อเนื่อง ชาวกรุงก็ไม่น้อยหน้า เมื่อกรุงเทพมหานคร และจังหวัดในปริมณฑล ต้องพบกับ "ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5" กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาสภาพอากาศในบริเวณนี้เป็นสภาพอากาศปิด เนื่องจากมีลมอ่อนๆ ในหลายพื้นที่ ทำให้ค่าฝุ่นละอองเกินกว่ามาตรฐานหลายจุด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งทางแก้ไขคือ ประชาชนเองต้องหาซื้อหน้ากากอนามัย N95 มาสวมใส่เพื่อป้องกันตัวจากฝุ่นเล็กๆ นี้
ฝั่งของรัฐบาลเอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความสำคัญกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่กลับมาสูงขึ้นในช่วงเดือน ธ.ค. โดยให้เตือนประชาชนติดตามสถานการณ์สภาพอากาศแต่ละวันผ่านแอปพลิเคชัน Air4Thai เพื่อประเมินตัวเอง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องใส่ใจตัวเองมากยิ่งขึ้น พร้อมขอให้หาหน้ากากอนามัยที่ป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้มาสวมใส่ ไม่ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากพบอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออก หายใจ มีเสียงวี้ด แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ หรือวิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์
นอกจากนี้ ยังเสนอแนวทางช่วยลดการเพิ่มปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก ด้วยการงดจุดธูป หมั่นตรวจเช็คสภาพรถยนต์ ลดการใช้รถยนต์ ดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ และใช้รถสาธารณะมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง