ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 เพื่อติดตามผลการดำเนินงานของสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ภายใต้นโยบาย “Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อผลักดันแนวทางการปฏิบัติงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในด้านการเร่งรัดปราบปราม การลักลอบจำหน่ายบุหรี่เถื่อน ซึ่งนับเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตอย่างแพร่หลาย ทั้งจากการลักลอบนำเข้าผ่านแนวชายแดน และการกระจายสินค้าสู่พื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเหตุของการจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 ได้รับแจ้ง เบาะแสว่าจะมีการลักลอบขนส่งบุหรี่ที่ยังมิได้เสียภาษี ผ่านบริษัทขนส่งเอกชน จึงเข้าดำเนินการตรวจสอบ พัสดุต้องสงสัย ณ ศูนย์กระจายสินค้าแห่งหนึ่ง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พบบุหรี่ซิกาแรตที่ไม่ได้เสียภาษี รวมจำนวนทั้งสิ้น 22,760 ซอง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,048,400 บาท ค่าภาษีสรรพสามิตประมาณ 1,429,328 บาท และประมาณการค่าปรับรวม 21,439,920 บาท โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกการตรวจยึดของกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบเพิ่มเติม ณ สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 พร้อมทั้งบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ณ สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลและแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ พบว่าเส้นทางการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนมีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
กรณีที่ 1 ลักลอบนำสินค้าเข้ามาทางทะเล เช่น จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดสมุทรปราการ โดยใช้เรือเป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
กรณีที่ 2 ลักลอบนำสินค้าเข้ามาทางตะเข็บแนวชายแดน เช่น จังหวัดสระแก้ว จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
ดร. เผ่าภูมิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการดำเนินงานของสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด มีเขตความรับผิดชอบครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งสิ้น 9 จังหวัด ประกอบด้วยพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดต่อที่ราบชายฝั่งไปจนถึงอ่าวไทย เช่น จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง จังหวัดสมุทรปราการ และพื้นที่ที่มีอาณาเขตแนวชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จังหวัดสระแก้ว จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด ลักษณะของการลักลอบสินค้าจึงมีทั้งในรูปแบบของการลักลอบเข้ามาทางทะเล โดยใช้เรือเป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และการลักลอบเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ซึ่งกรมสรรพสามิต โดยสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 ได้ดำเนินการขับเคลื่อนภารกิจอย่างเข้มข้น ภายใต้นโยบาย “Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์”
โดยมีการดำเนินการเฝ้าระวังการกระทำความผิดลักลอบนำสินคาที่มิชอบดวยกฎหมายสรรพสามิตเขาในราชอาณาจักรไทยทางตะเข็บแนวชายแดน เช่น ด่านศุลกากรอรัญประเทศ จังหวัดสระแกว, ดานศุลกากรจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี อีกทั้ง เน้นการบูรณาการความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามกับหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกอย่างเป็นระบบ การดำเนินงานดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ กองทัพบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กรมศุลกากร ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) รวมถึงบริษัทขนส่งเอกชนเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้กระทำความผิด เส้นทางการลักลอบขนส่งสินค้า และรูปแบบการกระทำความผิด ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินการตัดวงจรการขนส่งสินค้าผิดกฎหมายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งถือเป็นการยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตให้มีความครอบคลุมและยั่งยืนในทุกมิติ
โดยผลจากการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (1 ตุลาคม 2567 – 31 พฤษภาคม 2568) สำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ ในสังกัด สามารถปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายได้รวมทั้งสิ้น 2,898 คดี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 13.07 คิดเป็นค่าปรับ 104,649,507.58 บาท และประมาณการค่าปรับ 1,803,962,689.51 บาท ทั้งนี้ คดีที่พบมากที่สุด คือ คดียาสูบ คิดเป็นร้อยละ 61.53 รองลงมาคือคดีสุรา คิดเป็นร้อยละ 27.57 โดยจำแนกเป็น
1. ยาสูบ จำนวน 1,783 คดี ค่าปรับ 68,143,266.84 บาท ประมาณการค่าปรับ 1,794,730,859.39 บาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นยาสูบในประเทศ 116,768 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 1,232,148 ซอง
2. สุรา จำนวน 799 คดี ค่าปรับ 12,919,358.57 บาท ประมาณการค่าปรับ 1,928,280.52 บาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นสุราในประเทศ 3,038.655 ลิตร และสุราต่างประเทศ 12,294.522 ลิตร
3. น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 28 คดี ค่าปรับ 4,276,560.00 บาท จำนวนของกลาง 166,000 ลิตร
4. รถจักรยานยนต์ จำนวน 87 คดี ค่าปรับ 4,636,763.91 บาท ประมาณการค่าปรับ 459,000 บาท จำนวนของกลาง 215 คัน
5. ไพ่ จำนวน 32 คดี ค่าปรับ 173,909.20 บาท ประมาณการค่าปรับ 3,618,199 บาท จำนวน ของกลาง 2,775 สำรับ
6. รถยนต์ จำนวน 39 คดี ค่าปรับ 6,396,035 บาท ประมาณการค่าปรับ 316,300 บาท จำนวน ของกลาง 254 คัน
7. สินค้าอื่น ๆ จำนวน 130 คดี ค่าปรับ 9,103,614.36 บาท ประมาณการค่าปรับ 2,910,050.60 บาท
ดร.เผ่าภูมิฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต จะเดินหน้าดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจังในการป้องกันและปราบปรามสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิต เพื่อปกป้องประโยชน์ของรัฐ และสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และขับเคลื่อนนโยบาย “Zero Tolerance : สินค้าหลีกเลี่ยงภาษีสรรพสามิตต้องเป็นศูนย์” ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นำไปสู่ระบบภาษีที่โปร่งใส เป็นธรรม และเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ในโอกาสนี้ ขอขอบคุณสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 2 และสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ในสังกัด ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการสนับสนุนภารกิจของกรมสรรพสามิต เพื่อร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป