ไม่พบผลการค้นหา
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เรียกร้องประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ เร่งเดินหน้าขยายมาตรการเชิงรุกเพื่อตอบสนองต่อการระบาดของไวรัสโควิด-19

จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายประเทศต้องใช้มาตรการรุนแรงตั้งแต่การปิดพรมแดนไปจนถึงมาตรการห้ามนักเดินทางต่างชาติเข้าเมือง หรือการประกาศเคอร์ฟิวช่วงกลางคืนไปจนถึงปิดโรงเรียนและยกเลิกงานแข่งขันกีฬา โดยมีความกังวลว่าระบบสาธารณสุขที่ค่อนข้างอ่อนแอในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะไม่สามารถรับมือการระบาดอย่างรุนแรงและรวดเร็วได้ 

'ดร.พูนาม เคตราปาล ซิงห์' ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกชี้ว่า มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะยกระดับความพยายามทั้งหมดในการป้องกันไวรัสไม่ให้แพร่กระจายสู่คนมากขึ้น โดยผู้อำนวยการ WHO ประจำภูมิภาคยังระบุว่า มีการยืนยันการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น แม้นี่เป็นตัวบ่งชี้ของการตื่นตัวและการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านก็ยังเป็นการฉายให้เห็นความต้องการมาตรการเชิงรุกและความพยายามของสังคมที่มากขึ้นในการป้องกันไม่ให้ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดเพิ่ม พร้อมย้ำว่าจำเป็นต้องมีมาตรการเชิงรุกมากขึ้นและเร่งด่วน ซึ่งหากดูจากตัวเลขชัดเจนว่าบางประเทศกำลังเดินหน้าไปสู่การระบาดในชุมชนโดยนี่เป็นสิ่งที่ต้องป้องกันให้ดีที่สุด มาตรการสำคัญคือการการเดินหน้าค้นหา ตรวจ รักษา แยกผู้ติดเชื้อและติดตามผู้สัมผัส ขณะที่การดูแลสุขอนามัยพื้นฐานอย่างเช่น การล้างมือ ไปจนถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) มีความสำคัญในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่และจะสามารถช่วยลดการแพร่เชื้อได้อย่างมาก

ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ชี้ว่ามาเลเซียพบผู้ติดเชื้อแล้ว 673 ราย ถือเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ติดเชื้อหลายรายเกี่ยวพันกับการร่วมกิจกรรมทางศาสนาอิสลามเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจากทั่วโลกเกือบ 20,000 คน ส่งผลให้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ประกาศห้ามชาวมาเลเซียเดินทางไปต่างประเทศ  

นับตั้งแต่พบการระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งแรกในจีนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 198,000 รายแล้ว และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 7,900 ราย 


อ้างอิง CNA/WHO