จากการรวมรวมนโยบายด้านเกษตรและอาหารของ 8 พรรคใหญ่ ในเว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊กพรรคการเมือง พบข้อมูลดังนี้
วรดร เลิศรัตน์ นักวิจัย 101PUB – 101 Public Policy Think Tank ระบุว่า ที่ผ่านมา การใช้งบประมาณเพื่อการอุดหนุนเกษตรกรของรัฐบาล มีการอุดหนุนราคาสินค้า 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด ใช้งบประมาณอุดหนุนรวมทั้งสิ้น 4.6 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ย 1.5 แสนล้านบาท/ปี แต่ชีวิตของเกษตรกรก็ยังยากจน คำถามสำคัญคือ แล้วนโยบายเงินอุดหนุนช่วยเกษตรกรได้จริงหรือไม่
ผลสำรวจชี้ว่า มีเกษตรกรจดทะเบียนในเดือนสิงหาคม 2022 ราว 9.2 ล้านคน คิดเป็น 13.9% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ และมีครัวเรือนเกษตรกรทั้งสิ้น 8 ล้านครัวเรือน หรือ 29.0% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด โดยจำนวน 9.2 ล้านคนนี้ ถือเป็นกลุ่มอาชีพที่ยากจนที่สุด ซึ่งร้อยละ 11.4 เป็นคนยากจน และร้อยละ 27 มีรายได้ไม่พอรายจ่ายที่จำเป็น 42% มีรายได้หลังหักรายจ่ายที่จำเป็นไม่พอชำระหนี้และลงทุนทำเกษตรรอบถัดไป นอกจากนี้ 34% ยังมีหนี้สินคงค้างมากกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่ถือครอง ซึ่งเท่ากับเสมือนล้มละลายไปแล้วด้วย ปัญหาความยากจนดังกล่าวมีสาเหตุเพราะการทำเกษตรมีรายได้ต่ำมาก ในปี 2017-2021 ครัวเรือนเกษตรกรมีกำไรจากการเกษตรเฉลี่ยเพียง 73,974 บาทต่อปี หรือ 202.7 บาทต่อวัน น้อยยิ่งกว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่ 328-354 บาทต่อวันต่อคน หมายความว่า ถ้าคำนวณค่าแรงเกษตรกรในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นต้นทุนด้วย พวกเขาก็จะขาดทุน
ปัญหาทั้งหมดนี้ เกิดจากปัจจัย 3 ส่วน ได้แก่
หากคิดค่าแรงเกษตรกรเป็นต้นทุนทำเกษตร เกษตรกรถือว่าขาดทุนเยอะมาก และตกอยู่ในภาวะยิ่งทำยิ่งจน นโยบายเงินอุดหนุนของรัฐ แม้จะชูเป็นนโยบายสำคัญในช่วงหาเสียง เป็นนโยบายประชานิยม แต่ก็มีปัญหาหลายด้านเช่นกัน ทั้งทำให้ตัวเกษตรจนมากขึ้น เหลื่อมล้ำมากขึ้น ประเทศมีหนี้สะสมมากขึ้น
ในทางทฤษฎีเรื่องการขาดทุนของเกษตรกร คือการชี้ให้เห็นของความไม่เหมาะสมของการลงทุน ประสิทธิภาพการผลิตต่ำ คุณภาพสินค้าต่ำ และการปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็มีความเสี่ยงสูงในการบีบให้เกษตรกรไร้ทางเลือกในการจัดการผลผลิตในพื้นที่ดินของตนเองระบบโครงสร้างการทำเกษตรปัจจุบันผลักดันให้ขาดทุนเงินอุดหนุนจึงเหมือนเป็นการปัญหาระยะสั้นที่ไม่มีทางสิ้นสุดและไม่ช่วยให้เกษตรกรหลุดออกจากวงโคจรความยากจน ดังนั้น นโยบายเงินอุดหนุนเกษตรกรจะสร้างปัญหาระยะยาว เพราะเงินเหล่านี้รัฐบาลนำมาจากเงินกู้นอกงบประมาณ และไม่ผ่านการพิจารณาในรัฐสภา และแต่ละปีกู้เงินมามากกว่าใช้หนี้ เบียดบังศักยภาพทางการคลัง ที่ควรจะใช้งบประมาณบริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพ ข้อเสนอสำคัญคือ เกษตรกรควรได้รับการเติมรายได้จากสวัสดิการในฐานะสวัสดิการพลเมือง เพราะคนจนทุกคนไม่ได้เป็นเกษตรกร และเกษตรกรทุกคนไม่ได้เป็นคนจน ให้ประชาชนทุกคนที่จำเป็นเข้าถึงเพียงพอ ควรจูงใจให้เงินสนับสนุนบางอย่างผูกกับเงื่อนไข ปรับปรุงการเกษตรเพื่อการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ เรื่องของสวัสดิการเกษตรกรนั้นต้องทำเป็นตาข่ายทางสังคม เชื่อมกับสวัสดิการอื่นๆ นโยบายที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน เพราะการมองการแก้ปัญหาเกษตรกรทุกวันนี้เน้นที่นโยบายอุดหนุนเกษตรเป็นนโยบายที่เน้นแต่จะเติมรายได้ระยะสั้น แต่ไม่ช่วยเหลือเกษตรกรให้ออกจากวงจรที่ก่อให้เกิดหนี้สินได้จริง
ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้วิเคราะห์นโยบายและข้อเสนอนโยบายเกษตรของแต่ละพรรคการเมืองว่า มีทั้งดีขึ้นและน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเรื่องการอุดหนุนภาคเกษตร เป็นนโยบายประชานิยมเฉพาะหน้า ที่ส่งผลในทางลบมากกว่าทางบวก
ปัญหาสำคัญที่ทุกพรรคยังคลุมเครือ คือเรื่อง ‘ที่ดินทำกินเกษตรกร’ ปัจจุบันเกษตรกรอยู่ในพื้นที่ของรัฐมากกว่า 1 ล้านครัวเรือน ที่เป็นพื้นที่ สปก. 3 ล้านครัวเรือน รวมกันเป็นครึ่งหนึ่งของเกษตรกรในประเทศไทยที่ไม่มีสิทธิในที่ทำกินและไม่สิทธิทางกฎหมาย ดังนั้น นโยบายที่นำเสนอมาของแต่ละพรรคจึงทำไม่ได้จริงในหลายเรื่อง เพราะเกษตรกรจะติดเรื่องสำคัญ คือการไร้สิทธิในการทำเกษตรกรรมในพื้นที่รัฐหลายรูปแบบ เช่น การปลูกพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด แต่ไม่สามารถปลูกพืชไม้เศรษฐกิจยืนต้นได้ เพราะติดปัญหาเรื่องนิยามพื้นที่ป่า เช่น การปลูกไผ่ หรือการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การทำโรงงานแปรรูปในบางพื้นที่ก็ทำไม่ได้เพราะปัญหาเรื่องที่ดิน เอกสารสิทธิ
เกษตรกรหลายล้านครัวเรือนถูกจำกัดสิทธิ เพราะพื้นที่ไม่เปิดโอกาสให้ ติดปัญหาการขออนุญาตจากหน่วยงานรัฐ ถ้าเราแก้ปัญหารากเหง้าเรื่องนี้ไม่ได้ ก็เดินหน้าไม่ได้ 1 ล้านครอบครัวถูกจำกัดสิทธิ การแปรรูป การทำ SMEs ถูกจำกัดด้วยกฎหมายปฏิรูที่ดิน พ.ศ.2518 ซึ่งล้าสมัยไม่เหมาะกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง มีพรรคเดียวที่พูดถึงบ้างคือคือก้าวไกล แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด ส่วนพืชเศษฐกิจ พืชไร่ 4 ชนิด มีปัญหาและจะมียาวนานต่อไป ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าตัดงบเกษตรกร 4 ตัวนี้ ความจริงเชิงประจักษ์ก็คือประเทศไทยมีสินค้าเกษตรอื่นๆ การปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ควรมาปรับใช้ผสมผสานด้วยกัน การทำเศรษฐกิจคู่ขนานถึงจะรอดได้ หมายถึงเกษตรกรสามารถออกแบบการใช้พื้นที่ได้อย่างสร้างสรรค์และสร้างมูลค่าได้มากกว่าทางเดียวเฉพาะปลูกพืชส่งเสริม ทำให้เขามีรายได้มากกว่า 1 ทาง
ข้อเสนอของ ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ คือ
นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access) มองว่า เงินอุดหนุนเกษตรกรนั้น มีช่องโหว่มากมายที่ทำให้เกษตรกรผู้ยากจนเข้าไม่ถึงนโยบายนี้ เพราะการจะได้รับเงินอุดหนุน ต้องขึ้นทะเบียนพร้อมแนบหลักฐานที่ดินทำกิน ทำให้เกษตรกรผู้เช่าที่ดินหมดสิทธิ์ในการได้รับเงินอุดหนุน
“ผมคิดว่าเราจะเลือกพรรคไหนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้จริงๆ อยากพูดว่า ถ้าเลือกพรรคต้องคิดว่าจะได้คนแบบไหนมาด้วย พรรคพลังประชารัฐ ได้ใครมา เราเบื่อกับ 8 ปีที่ผ่านมาจะแย่อยู่แล้ว วิพากษ์วิจารณ์ก่อนว่า โจทย์ใหม่ไม่ใช่เรื่องนโยบายการเกษตรเท่านั้น แต่คือการผลักให้เป็นเรื่องรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งไม่มีพรรคไหนดันเรื่องนี้”
นิมิตรมองว่าบางพรรคการเมืองบอกว่า จะให้ 3,000 บาท แต่ให้เฉพาะผู้สูงอายุที่ยากจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความไม่เข้าใจเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน สิ่งที่รัฐบาลเอาภาษีมาใช้ควรเป็นสิทธิทุกคน แต่นโยบายยังเน้นคำว่า “ยากจน” ซึ่งเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ที่มีปัญหา
ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์นโยบายด้านเกษตรและอาหารของ 8 พรรคการเมืองในหลายประเด็น ดังนี้
หนึ่ง - ช่วงนโยบายจำนำข้าว ซึ่งใช้เงินอุดหนุนไป 8.8 แสนล้าน นั้น การจำนำข้าวไม่ได้มีแค่เงินอุดหนุนเท่านั้น แต่ยังมีส่วนที่ขายด้วย แต่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศมา 8 ปี ใช้งบประมาณปีละ 1 แสนล้านเพื่ออุดหนุนเกษตรกร ถ้ารวมตัวเลขการอุดหนุนตลอด 8 ปี ถือเป็นจำนวนมหาศาล ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลอื่นๆ ทว่าปัญหาสำคัญคือเงินมหาศาลเหล่านี้ไม่ได้ไปสู่การพลิกโฉมเกษตรกร และไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตแบบนี้
ในแง่นี้ ประภาส ระบุว่า ตนไม่เห็นว่ามีนโยบายพรรคไหนเสนอเรื่องการแก้ปัญหาที่แท้จริง การวิจารณ์เงินอุดหนุนเกษตรกร ต้องนึกถึงค่าพรีเมี่ยมข้าวในอดีตที่เก็บจากชาวนาด้วย ต้องให้ความเป็นธรรมกับชาวนาเกษตรกรที่รัฐอุดหนุนด้วย อย่างกรณีนโยบาย นาอินทรีย์ล้านไร่ก็เลิกไปแล้ว ชาวบ้านก็กลับมาทำนาแบบเก่า มันแสดงให้เห็นว่าการผลักดันงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพอะไรที่ทำให้ชาวบ้านเขาสามารถผลิตข้าวต่อได้
สอง - เกษตรกรชาวนาชาวไร ส่วนหนึ่งคือเกษตรกรรายน้อย นโยบายทุกพรรคจึงไม่พูดเรื่องเกษตรกรในพื้นที่ป่าและทะเล คนที่พึ่งฐานทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากไม่พูดถึงแล้ว ยังมีนโยบายซ้ำเติม คือ BCG ส่งเสริมเอกชนปลูกป่าขายเครดิตคาร์บอน กฎหมายนี้จะไปเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในพื้นที่ป่า ปรับระบบโครงสร้างป่าไม้ที่เกษตรกรรายย่อย อีกทั้งนโยบายครั้งนี้ไม่มีใครพูดถึงทั้งที่จะมีคนมากมายที่ได้ผลกระทบ
สาม - เรื่องปัจจัยการผลิต การปฏิรูปที่ดิน การกระจาย มีบางพรรคพูดเรื่องธนาคารที่ดินเล็กๆ น้อยๆ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ควรพูดถึงการปฏิรูปที่ดินกันอย่างจริงจัง และคิดถึงเรื่องของการพลิกโฉมเกษตรกรด้วย
สี่ - ปัจจุบัน ไม่มีเกษตรกรแบบเดี่ยวๆ อีกแล้ว เพราะเกษตรกรมีชีวิตหลากหลายไม่มีใครปลูกข้าวอย่างเดียว เขาต่างทำมาค้าขาย เป็นเกษตรกรรายย่อย ต้องด้นชีวิตหลายหน้า นโยบายที่เกี่ยวข้องกับเกษตรจึงต้องครอบคุลมชีวิตถ้วนหน้า ทั้งการถ่ายโอนมายังเรื่องท้องถิ่น การมองเรื่องตลาดชุมชน ท้องถิ่น และการขยายตลาด
“โดยสรุปเราต้องการนโยบายครอบคลุมเกษตรกรที่เปลี่ยนหน้าไปเป็นผู้ประกอบการ และนโยบายต้องครอบคลุมเรื่องของตลาด นโยบายต้องสนใจภาพใหญ่ ถ้าเห็นแต่ชาวนาเกี่ยวข้าวอย่างเดียวเป็นนโยบายไม่ได้อีกต่อไป
ไชยยะ คงมณี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มองว่า เกษตรกรรมไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารอย่างเดียว แต่มีปัญหาเรื่องอาหารที่ปลอดภัย ไม่เห็นนโยบายพรรคไหนที่ทำเรื่องอาชีพเกษตรกรมั่นคงได้อย่างไร ดังนั้น ทิศทางการพัฒนา ที่บอกว่า ปลอดภัย มั่นคง เกษตรผาสุก ออกจากพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด ต้องนำไปสู่คำถามว่าไปสู่อะไร การอุดหนุนที่ทุกพรรคทำ ไปเน้นเรื่อง “รายได้ กับ ต้นทุนปัจจัยการผลิต” แต่แทบไม่มีนโยบายที่มีการอุดหนุนเพื่อการพัฒนา และการเตรียมรับมือวิกฤตทางสภาวภูมิอากาศ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน แม้เกษตรกรบอกว่าจะทำบริโภคในครัวเรือนแต่ต้องแข่งขันในตลาดได้ contract farming ไม่ได้การรันตีเรื่องความมั่นคง และความเป็นธรรม เรื่องของการแข่งขันเราจะเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างไร
อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวว่า นโยบายการถือครองที่ดินเป็นปัญหามาตั้งแต่สมัย ร.5 จนถึงปัจจุบัน เรื่องนี้ต้องทำ ที่พรรคก้าวไกล เขียนไว้ พรรคอื่นไม่ได้ระบุ ผมเห็นว่าความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ความผิดพลาดของเกษตรกรรายบุคคล การถ่วงดุล เรื่องที่ดิน เป็นประการหนึ่งที่ทำให้เกษตรกรไม่หลุดพ้นจากวงจรปัญหาความยากจน นอกจากนี้ที่น่ากังวลคือนโยบายคาร์บอนเครดิตของพรรคชาติไทย มันเป็นการเฉไฉไม่ใช่แก้ปัญหา มีกลุ่มทุนปล่อยคาร์บอนแล้วเอาเงินไปฟาดหัวให้ชาวบ้านปลูกป่า นโยบายนี้มีปัญหาแน่ๆ ส่วนการเสนอเรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยี ใช้ AI ทำการเกษตรของพรรคเพื่อไทย ประเทศญี่ปุ่นมีการถกเถียงว่าการใช้ AI ดีจริงหรือไม่ ทำให้ชาวนาได้กำไรจริงหรือไม่ เรื่องนี้ต้องชี้ให้เห็นข้อมูลที่ส่งเสริมเกษตรกรส่วนใหญ่อย่างไร และสิ่งที่น่ากังวลของพรรคภูมิใจไทย เสนอนโยบายทำ contract farm พืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด ซึ่งนโยบายนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เน้นเรื่องปัญหาของระบบเกษตรพันธะสัญญาแต่เหมือนจูงใจฝ่ายทุนให้และผลักภาระให้เกษตรกรแบกรับไว้ การมองนโยบายเดี่ยวโดยไม่มองเรื่องอดีตและความเป็นธรรมของนโยบายจึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล
สุเมธ ปานจำลอง เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวถึง การมีนโยบายรองรับสังคมสูงวัยในกลุ่มเกษตรกร และการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ลดหนี้เพิ่มรายได้ ภายใต้นโยบายที่เสนอมา ยังคิดว่าไปไม่ถึง โดยเฉพาะเรื่องการจัดรูปภาคเกษตรแบบใหม่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจภาคเกษตร เรื่องจัดการผลผลิตนั้น สิ่งสำคัญคือสังคมการเกษตรในภาคชนบท คนสูงวัยถูกทอดทิ้ง คนหนุ่มสาวอยู่นอกถิ่น เด็กเกิดใหม่มีไอคิวต่ำ เรามีนโยบายไปสู่การแก้ปัญหาอย่างไร contract farming พูดเรื่องเกษตรแนวใหม่ต่างๆ เข้าสู่เกษตรเต็มรูป เกษตรนิเวศน์ไม่มีใครพูดถึง มันสะท้อนว่าความรู้เกษตรของชาวบ้านไม่มีส่วนในการนำมาเปลี่ยนแปลงเลย ไม่มีพรรคไหนเอาความรู้ท้องถิ่น มาแก้ปัญหาเรื่องนี้เลย และไม่สามารรถโยงไปกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างปัญหาโลกรวนที่ทั่วโลกเผชิญอยู่ตอนนี้
กนกพร ดิษฐ์กระจันทร์ เกษตรกรอินทรีย์อ.อู่ทอง กล่าวถึง ชีวิตของการทำอาชีพเกษตรกรที่ไม่มีสวัสดิการ โดยเสนอว่า รัฐสวัสดิการควรเข้าถึงแรงงานในระบบและนอกระบบซึ่งไม่ใช่รวมแค่เกษตรกร แต่เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า ที่ผ่านมานโยบายเกษตรที่เน้นส่งเสริมสามารถเห็นได้ว่าไม่ได้แก้ปัญหาได้จริง เช่น เกษตรดิจิตอล แปลว่าอะไร เมื่อคุณยังไม่ได้พัฒนาชีวิตเรื่องหนี้สินเกษตร ต้นทุนต่างๆ นอกจากนี้ปัญหาเรื่องเมล็ดพันธุ์ไร้คุณภาพ ผลผลิตที่คุณภาพทำให้ประเทศไทยส่งออกสู้ต่างประเทศไม่ได้ การส่งเสริมพืชที่ไม่ได้คุณภาพมาแข่งขัน เน้นการปลูกพืชบางชนิดเดี่ยวๆ มันสะท้อนความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา รวมไปถึงเรื่องการควบคุมราคาปุ๋ยราคาต้นทุน นอกจากนี้การพัฒนาเกษตรต้องครบทุกอาชีพ ไม่ใช่แค่พืชไม่กี่ชนิด ไม่มีนโยบายด้านเกษตรในระบบนิเวศน์ ที่ไปเห็นผลผลิตอื่นๆที่ได้ผลกระทบ
ทัศนีย์ วีระกันต์ มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน มองว่า เกษตรกรไม่เหมือนอาชีพอื่นๆ เพราะทำอาชีพบนวิถีของตัวเอง นิเวศน์เฉพาะของตนเอง งานของเกษตรกรจึงต้องมองแตกต่างจากวิชาชีพอื่นๆ เกษตรกรต้องการทักษะเสริมและนโยบายที่เฉพาะยืดหยุ่นเพื่อรองรับสถานการณ์ความเสี่ยงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคระบาด โควิด และการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบอย่างมาก อีกเรื่องคือการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานเกษตรคือเรื่องสำคัญ คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาต้องมีบทบาทมากกว่าคนสูงวัย ตัวละครหรือตัวเล่นเหล่านี้ทำให้เกษตรต้องเปลี่ยนจากการทำเกษตรเดี่ยวๆมาเป็นอาชีพ เป็นผู้ประกอบการ ภาควิชาการต้องมาหนุนพัฒนาความเข้มแข็งให้พวกเขาอยู่ได้ทำได้ อีกเรื่องสำคัญคือ ข้อเสนอจากนักวิชาการในเรื่องของปัญหานโยบายเชิงเกษตรไม่เคยมาประมวลให้ประชาชนได้เห็นในช่วงการเลือกตั้ง มีแต่องค์กรอิสระเข้ามาแทนที่
นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ (AIDS Access) กล่าวข้อเสนอว่า
หลายประเทศในโลก เริ่มพูดหลักประกันรายได้ตามช่วงอายุ ถ้ามีรายได้ต่ำกว่าเท่านี้ ได้เงินอุดหนุนจากรัฐ เอาทุกคนเข้ามาสู่ระบบภาษี พี่น้องแรงงานเข้ามาสู่ระบบภาษี ใครมีรายได้ไม่เพียงพอ มีรัฐสวัสดิการประกันเรื่องรายได้ มีรายได้แค่ไหน เงินอุดหนุน หลักประกัน อุดหนุนครัวเรือนไม่ได้อุดหนุนรายบุคคล เอามาอยู่ใมระบบภาษีและจัดเรื่องหลักประกันรายได้ การว่างงาน รายได้ต่ำ ไม่ใช่ถ้วนหน้าแต่มีเกณฑ์บนฐานการดำเนินชีวิตเป็นนัยสำคัญ และหลักประกันด้านที่ดิน สวัสดิการเรื่องที่ดิน เราจะอุดหนุน ที่ดินที่อยู่อาศัยคนมีบ้านของตัวเองได้ ที่ดินการเกษตร จะกระจายทรัพยากรกระจายอย่างไร เป็นรายละเอียดที่ต้องคิดต่อ อันถัดมา รัฐสวัสดิการเรื่องการกระจายระบบขนส่งสาธารณะ ให้กระจายไปทุกหัวเมือง การขนส่งสาธารณะ ที่ทำให้พี่น้องเกษตรกรพึ่งพา นำผลผลิตออกสู่ตลาดได้ และสุดท้าย สวัสดิการเรื่องโทรคมนาคม ถ้าบอกว่าจะให้ไป AI ในเรื่องนี้ยังไม่พร้อม ช่วงโควิดระบาด มีปัญหาที่สะท้อนเรื่องนี้ว่าขาดการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เป็นธรรม
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี กล่าวทิ้งท้ายว่า เรายังมีปัญหาการผูกขาดระบบการกระจายอาหารที่อยู่ในมือบริษัทขนาดใหญ่ มีการปล่อยให้ควบรวมกิจการ ปล่อยให้ค้าปลีกรายเดียวถือครองตลาดร้านสะดวกซื้อเกิน 80 % นโยบายการอุดหนุนการผลิตเชิงเดี่ยวทั้งหลายนั้นไม่ใช่ทำให้เกษตรกรรายใหญ่ได้ประโยชน์เท่านั้น แต่เบื้องหลังคือคงการผลิตเกษตรเพื่อป้อนให้เป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรม การขับเคลื่อนไหว พ.ร.บ. เกษตรกรรมยั่งยืนถูกสกัด ปัจจุบันเรายังคงมีปัญหาความมั่นคงทางด้านอาหาร เด็กไทยที่ขาดสารอาหารที่ทำให้เตี้ยแคระแกร็น ตัวเลขอยู่ที่ 5.5 เปอร์เซ็นต์ สถิติเมื่อเทียบกับละตินอเมริกาสถานการณ์ไทยนั้นแย่กว่ามาก ความมั่นคงทางอาหารของเด็ก สะท้อนปัญหาระบบโภชนาการ และความปลอดภัยในเรื่องอาหาร โดยผลสำรวจล่าสุด ตลาดที่เป็นค้าส่งทั่วไปผักผลไม้มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานถึง 62 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขนี้เมื่อไปเทียบกับประเทศญี่ปุ่นและอเมริกา ประเทศเขายอมรับได้แค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ มูลนิธิการศึกษาไทยไปสำรวจ พบ 63 เปอร์เซ็นต์ของเด็กไทยได้รับอาหารที่ไม่ปลอดภัย ตอนนี้อาหารของเด็กมีปัญหามาก ซึ่งส่งผลต่อสติปัญญาของเด็กด้วย จึงอยากเสนอให้ใช้รัฐสวัสดิการมาตอบโจทย์ปัญหาเรื่องเหล่านี้ ถ้าเราจะสร้างระบบสวัสดิการที่ทำเกิดเงื่อนไขการเปลี่ยนระบบเกษตรกรรม เปลี่ยนอาหารเด็กให้ปลอดภัย เพียงพอ ประเด็นผมเสนอคือ ใช้โมเดลแบบประเทศเดนมาร์ก และหลายประเทศในยุโรป มียุทธศาสตร์เรื่องการปรับเปลี่ยนการผลิตและสร้างความมั่นคงทางอาหาร อย่างปี 2009 ประเทศอิตาลี เปลี่ยนอาหารในโรงเรียนเป็นอินทรีย์ 40 เปอร์เซ็นต์ เดนมาร์กก็เช่นกัน เราสามารถแก้ปัญหาจุดวิกฤตเรื่องอาหารของประเทศไทย ลดปัญหาการใช้สารเคมีที่ไม่ปลอดภัยในระบบการเกษตรด้วยระบบรัฐสวัสดิการ
ประภาส ปิ่นตบแต่ง กล่าวข้อเสนอว่า ความต้องการเปลี่ยนผ่านพลิกโฉมโครงสร้างการผลิต สังคมไทยไม่สามารถจ่ายเงินแสนกว่าล้านงบประมาณอุดหนุนเกษตรไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนการผลิต ข้อเสนอคือการอุดหนุนระยะสั้นยังจำเป็นต้องมี เพราะเกษตรกรถูกขูดรีดมายาวนาน เวลาราคาสูงก็ถูกเก็บค่าพรีเมี่ยม ภาษีส่งออก แต่ควรออกแบบการอุดหนุนระยะสั้นให้มีเงื่อนไขเรื่องการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตของเกษตรกรเพื่อรองรับการแก้ไขในระยะยาว ขยายความอุดหนุนเพื่อการพลิกโฉม มีวิธีคิดเดิมของพรรคการเมืองได้เสนอเยอะมาก เช่น นาอินทรีย์ล้านไร่ เริ่มต้นได้แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะภาพชัดว่าพี่น้องกลับมาสู่แบบเดิมไม่สามารถขายข้าวแบบอินทรีย์ได้แตกต่างจากข้าวเคมี บทเรียนความล้มเหลวมีตัวอย่างมากมาย ชาวบ้านเองมีบทเรียนประสบการณ์ที่ล้มเหลวและสำเร็จ เช่น การสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ยโสธร ประกาศเป็นจังหวัดอินทรีย์ บทเรียนตลาดสีเขียวท้องถิ่นที่เชื่อมผลผลิตกับโรงพยาบาล อบต. และเห็นว่าเกษตรกรจำนวนมากผูกติดกับระบบฐานทรัพยากรท้องถิ่น เช่นเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า เราจึงไม่สามารถมองเกษตรกรเพียงแค่รูปแบบการผลิต และการแก้ปัญหาด้วยการส่งเสริมเงินอุดหนุนแบบเดิมๆ
ไชยยะ คงมณี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า เห็นว่าปัญหาสำคัญคือกลไกการขับเคลื่อนนโยบาย เช่น บทเรียนเรื่องเกษตรแปลงใหญ่ซึ่งเป็นนโยบายที่ดีแต่มีปัญหาทางปฏิบัติ ตัวเองอยากเสนอให้มีการเปลี่ยนการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรมาเป็นการปรับโครงสร้างการผลิต เช่น เรามีงานศึกษาชัดเจนที่บอกว่าสวนยางผสมผสานมีรายได้มากกว่ายางเชิงเดี่ยวมาก การพัฒนาตลาดโดยเกษตรกรไม่มีใครนำเสนอเรื่องนี้ นี้เป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดการแข่งขันได้ในยุคที่ภาคธุรกิจแข็งแกร่ง เกษตรกรอ่อนแอ เราต้องปรับเกษตรกรให้เป็นนักธุรกิจเกษตรสัก 1 ล้านราย และที่พรรคการเมืองเสนอแล้วคือการสร้างมาตรฐานต่างๆ ที่ทั่วโลกยอมรับ งานวิจัยก็ยังมีการพูดถึงกันน้อย การลดความเสี่ยงด้วยการสร้างกองทุนเสถียรภาพรายได้เกษตรกร ก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจพัฒนาเป็นนโยบายได้
อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก กล่าวเสนอเพิ่มเติม ประเด็นเกษตรกรสูงวัยกับคนรุ่นใหม่มีความสัมพันธ์อย่างยิ่ง เรื่อง “แรงงานคืนถิ่น” การจะให้คนรุ่นใหม่กลับไปสู่การเกษตรต้องการกองทุนเพื่อพัฒนาทักษะ บางคนออกจากโรงงานไป อายุ 38-40 ต้องการกองทุนที่เข้าถึงง่ายทำให้เขาได้เรียนรู้ รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต้องมีพื้นที่ให้พวกเขาได้ทดลองตลาด อุดหนุนช่วยเพื่อการปักหลักในท้องถิ่นได้ยั่งยืน ข้อเสนอที่2 เรื่องหนี้สิน เมื่อพูดถึงปัญหานี้มักจะไปติดเรื่องวินัยทางการเงิน แต่หนี้สินคือวิกฤตครอบครัว ปัญหาครอบครัว คนทำงานเมือง-อุตสาหกรรม ที่อยากกลับบ้านแต่มีหนี้ เขาติดเครดิตบูโรทำอะไรไม่ได้ สร้างความเครียดมหาศาล มันต้องการการช่วยเหลือหนี้สิน การผ่อนปรน ยืดหนี้ ดังนั้น เรื่องแรงงานคืนถิ่นในระบบเกษตร ต้องการการอุดหนุนระยะสั้นเพื่อการปรับเปลี่ยน ภาครัฐควรเริ่มจากมีข้อมูล ทำเพื่อให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนนำไปสู่โอกาสที่ดีกว่า การเพาะปลูกเป็นวัฒนธรรม การเกษตรเป็นวัฒนธรรมและเป็นทักษะ ต้องมีกระบวนการเรียนรู้ การเกษตรแข่งขันไม่ได้เชิงเปรียบเทียบในภูมิภาค มันต้องการไปนำไปสู่ขั้นที่สร้างสินค้านวัตกรรม ดังนั้น ข้อเสนอสำคัญคือต้องการองค์กรที่รับผิดชอบทางนโยบาย อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ถนัดทำงานกับเกษตรกร หาความรับผิดชอบ กลไก องค์กร ที่พัฒนาสินค้าเกษตรนวัตกรรม เช่น โลกปัจจุบันสนใจ แป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าว ไม่มีกลูเต็น แต่นวัตกรรมเหล่านี้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงได้หรือไม่ ไม่มีองค์กรที่รับผิดชอบร่วมกับเกษตรกรในการพัฒนาสินค้านวัตกรรม ต้องทลายความเชื่อเรื่องพืชเชิงเดี่ยว เพราะปัจจุบันชี้แล้วว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวไม่สามารถสร้างรายได้ต่อครัวเรือนที่ทำให้อยู่ได้ อ้อย กับข้าวโพด กินพื้นที่เยอะมาก เราไม่ปฏิเสธพืชเหล่านี้ แต่ต้องเป็นหน้าที่บริษัทอุตสาหกรรมที่ต้องเพิ่มผลิตภาพโดยการทำงานร่วมกับเกษตรกร
สุเมธ ปานจำลอง เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เสนอว่า 1.สร้างความรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสำคัญ สถาปนานโยบายความรู้ท้องถิ่น วิจัย ชาวบ้านเข้าถึงทุนในการศึกษา ไม่ควรอยู่ที่มหาวิทยาลัยอย่างเดียว งานความรู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่มาควรจากท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลงข้างล่างขึ้นข้างบน 2. นโยบายการรองรับการปรับตัวของสังคมสูงวัย มันสัมพันธ์กับการกลับบ้าน การพึ่งพิงวัยแรงงาน สังคมไทยภาคเกษตรเองยังไม่รองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เราไปทำงานกับคนคืนถิ่น เขามีครอบครัว มีความรู้ฟื้นท้องถิ่น รองรับการกลับบ้านสร้างแรงจูงใจ กองทุนให้คนกลับบ้าน ผ่าน ธกส. มีเงินคนตั้งหลักในหมู่บ้าน แก้ปัญหาระบบผูกขาดการผลิต หรือเกษตรพันธสัญญา 3. นโยบายความมั่นคงทางอาหาร การปกป้องพื้นที่อาหาร เรื่องเหล่านี้ต้องหยิบขึ้นมาให้ อบต. ระดับท้องถิ่น สร้างอาหารอย่างเพียงพอ เรื่องอาหารปลอดภัยในระดับท้องถิ่น การยกเลิกสารเคมีที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่
สุรางค์รัตน์ จำเนียรพล สถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ กล่าวว่า นโยบายเกษตรกรรมมันพันกับเรื่องสวัสดิการ กับการปรับเศรษฐกิจภาพใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเกษตรเท่านั้น โครงความคิดเรื่องความมั่นคงทางอาหารเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับนโยบาย ไม่ใช่แค่เพียงเกษตร แต่เป็นเรื่องความมั่นคงทางอาหาร และความความมั่นคงของมนุษย์ ที่ไม่ใช่จำกัดที่ กระทรวง พม. เราจะจัดเวทีตลาดนัดนโยบาย ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยง โดยสถาบันวิจัยสสังคมจุฬาฯ จะร่วมกับมูลนิธิชีววิถี และมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน และภาคีอื่นๆ ในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้
อ้างอิง: เวทีวิเคราะห์นโยบายพรรคการเมือง และข้อเสนอสำหรับการเลือกตั้ง 2566 เพื่อความมั่นคงทางอาหารและคุณภาพชีวิตเกษตรกร จัดโดยมูลนิธิชีววิถี มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย) สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย