ไม่พบผลการค้นหา
“เพื่อไทย” ห่วง ก๊าซขึ้น น้ำมันขึ้น ไฟฟ้าขึ้น เงินเฟ้อขึ้น ดอกเบี้ยขึ้น ราคาหมู ไก่ ปลา ขึ้น แต่ตกงาน ไม่มีเงิน ย้ำ ปี 2565 จะเป็น “ปีแห่งความทรุดโทรมเสื่อมถอย” “ประยุทธ์” ต้องใช้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ปล่อยตามยถากรรม แนะ ช่วยเหลือประชาชนคือความมั่นคงของประเทศที่แท้จริง

พชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหาร และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลประกาศจะปรับราคาก๊าซขึ้นแบบขั้นบันไดเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระค่าครองชีพซ้ำเติมให้กับประชาชนอย่างมาก หลังจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นไปก่อนหน้านี้ และ จะเริ่มขึ้นค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือนมกราคมนี้เช่นกัน ทั้งนี้รัฐบาลอ้างว่า ปัจจุบันกองทุนน้ำมันต้องสนับสนุนราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ

โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือน ธ.ค. 64 มีรายจ่ายเฉลี่ยติดลบเดือนละ 5,963 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมัน 4,276 ล้านบาท LPG 1,687 ล้านบาท อีกทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ทะลุ $81 แล้ว และ ราคา LPG ในตลาดโลกทะลุ $900 ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันมีภาระแบกรับภาระการพยุงราคาน้ำมันดีเซลของก๊าซ และจะมีภาระเพิ่มขึ้นอีกถ้าราคาน้ำมันและก๊าซยังคงเพิ่มขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่รัฐบาลแบกต่อไม่ไหว 

นอกจากราคาพลังงานจะสูงขึ้นแล้ว ราคาอาหารเช่น ราคาหมู ราคาไก่ ราคาปลา ราคาไข่ไก่ ได้ปรับสูงขึ้นตาม รวมถึงราคาค่าขนส่ง และ ราคาสินค้าหลายชนิดทยอยสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยในปีนี้สูงขึ้นมาก ประชาชนส่วนใหญ่ที่รายได้ไม่เพิ่ม และ คนตกงานจำนวนหลายล้านคน จะลำบากกันอย่างมากจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขนาดสินค้าราคาปกติยังจะลำบากที่จะหาเงินมาซื้อกันอยู่แล้ว แต่ที่น่ากังวลคือ ธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น

อาจจะขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ จากภาวะเงินเฟ้อสูงในสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ไทยต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม มิเช่นนั้นเงินตราต่างประเทศอาจจะไหลออกได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วต้องถูกซ้ำเติมมากขึ้น บริษัทห้างร้านต่างๆที่ติดหนี้ธนาคารอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาตลอดหลายปี ต้องมาจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะแบกรับกันไม่ไหวและอาจจะต้องปิดตัวกันมาก ซึ่งจะทำให้คนตกงานอีกมาก 

ทำให้เห็นว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาในช่วงภาวะที่เศรษฐกิจโลกดี เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ น้ำมันราคาถูก หนี้ประเทศต่ำ พลเอกประยุทธ์ยังบริหารประเทศล้มเหลว จากนี้ไปพลเอกประยุทธ์จะต้องเผชิญกับ น้ำมันแพง ก๊าซแพง ไฟฟ้าขึ้น ค่าครองชีพพุ่ง อาหารแพง เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขึ้น หนี้ท่วมทั้งภาครัฐและเอกชน พลเอกประยุทธ์จะบริหารประเทศให้สำเร็จได้อย่างไร ปีที่แล้วไทยต้องนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นกว่า 4 แสนล้านบาทจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

ปีนี้ราคาน้ำมันที่นำเข้าก็คงจะสูงขึ้นอีกเช่นกัน แสดงถึงว่า ตลอด 7 ปีที่น้ำมันราคาถูก พลเอกประยุทธ์ยังไม่สามารถทำเศรษฐกิจให้ดีได้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยยังขยายไม่เท่ากับราคาน้ำมันที่ประเทศลดการจ่ายลงเลย เป็นความล้มเหลวที่วัดได้ง่ายๆ ดังนั้นในปี 2565 นี้จะเป็น “ปีแห่งความทรุดโทรมและเสื่อมถอย” ซึ่งเป็นผลมาจากความล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์ที่สะสมมาตลอด 7 ปี ทั้งนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนาคตว่าประเทศไทยจะพัฒนาต่อไปอย่างไร

ทั้งนี้ หากพลเอกประยุทธ์ยอมลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลแต่แรกตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเสนอ กองทุนน้ำมันก็ไม่ต้องมาแบกภาระหนักขนาดนี้ และยังสามารถนำกองทุนน้ำมันไปแบกภาระค่าก๊าซที่สูงขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามลำบากนี้ได้ อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ควรจะต้องนำเงิน 20,087.42 ล้านบาทที่โอนจากกองทุนพลังงานมาคืนเพื่อช่วยสนับสนุนราคาน้ำมันและราคาก๊าซที่แพงขึ้น เพื่อให้ประชาชนประคองชีวิตให้รอดก่อน ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะคนจะตายกันหมดแล้วจากผลงานบริหารที่ล้มเหลวของพลเอกประยุทธ์

ตั้งแต่นี้ต่อไป การบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นจุดอ่อนของพลเอกประยุทธ์มาตลอด การที่จะฟื้นฟูประเทศต่อไปนี้ ต้องใช้ความแม่นยำ ทฤษฎีที่ถูกต้อง และ ต้องพลิกฟื้นเปลี่ยนวิธีการบริหาร ไม่เช่นนั้นประเทศจะอ่อนแอ และ ความมั่นคงของประเทศก็จะสั่นคลอน เพราะประชาชนสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานไป