พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ พญ.วันทนีย์ วัฒนะรองปลัดกรุงเทพมหานคร, นพ.ชวินทร์ ศิรินาค รองปลัดกรุงเทพมหานคร ได้ประชุมร่วมกับ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการ สปสช. และ นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 13 กทม. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2563 ที่ผ่านมา เพื่อหารือความร่วมมือในการดูแลประชาชนในพื้นที่ กทม. ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีหน่วยบริการประจำถูกยกเลิกสัญญาการเป็นหน่วยบริการประจำในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง)
การประชุมครั้งนี้มีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ทั้งสำนักการแพทย์ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กทม.
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า กรณีที่ สปสช. ยกเลิกสัญญากับคลินิกเอกชนที่เบิกค่าบริการไม่ถูกต้องทำให้กระทบต่อประชาชน โดยการยกเลิกสัญญารอบแรกมีประชาชน 2 แสนคนที่ได้รับผลกระทบ ทาง กทม. จึงร่วมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนหน่วยบริการใหม่ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขไปแล้ว แต่ในรอบที่ 2 และ 3 ที่ สปสช. ยกเลิกสัญญาคลินิกเอกชนเพิ่มเติม ด้วยจำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบมากถึง 1.9 ล้านคน ทำให้หน่วยบริการเขต กทม.ที่มีอยู่ในระบบ 137 แห่ง ไม่เพียงพอต่อการรองรับได้
เพื่อดูแลชาว กทม.ที่ได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมา กทม. และ สปสช. ได้มีการหารือนอกจากแก้ปัญหาแล้ว วางแนวทางการพัฒนาระบบบริการสุขภาพใน กทม. ให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมการดูแลยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วย โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ
ทั้งนี้การประชุมร่วมกันระหว่าง กทม. และ สปสช. ในวันนี้ เราเห็นด้วยในหลักการที่มีเป้าประสงค์เดียวกันคือประชาชน โดยหน่วยบริการทุกระดับของ กทม. จะให้บริการผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบโดยไม่มีการปฏิเสธและไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการจากประชาชน และเห็นชอบให้ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. 69 แห่ง เป็นแม่ข่ายการให้บริการปฐมภูมิในพื้นที่และกำกับคุณภาพบริการของคลินิกที่จะเข้าร่วม คาดว่าจะมีคลินิกเอกชนจำนวนมากเข้าร่วม โดยจะรีบส่งรายชื่อคลินิกเอกชนที่ร่วมเครือข่ายให้ สปสช โดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ยังประเมินว่าจะสามารถให้ชาว กทม.ที่รับผลกระทบเลือกหน่วยบริการประจำได้ภายในวันที่ 1 พ.ย.2563 นี้ ขณะที่ในส่วนโรงพยาบาลสังกัด กทม. จะทำหน้าที่ให้บริการผู้ป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาลโดยแบ่งความรับผิดชอบเป็นโซน ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้จะต้องเดินหน้าควบคู่กับนโยบายการพัฒนาการให้บริการสุขภาพของ กทม. โดยเฉพาะการลดการรอคอยบริการ รอพบแพทย์ไม่เกิน 60 นาที และลดความแออัดในโรงพยาบาล
ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า จากการหารือกับท่านผู้ว่าฯ กทม. วันนี้ ประเด็นหารือไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น แต่เป็นการยกระดับบริการสุขภาพในพื้นที่ กทม. ในอนาคต ทั้งในส่วนระบบบริการปฐมภูมิ ระบบส่งต่อและบริการผู้ป่วยใน ซึ่งต้องขอบคุณทาง กทม. โดยเฉพาะท่านผู้ว่าฯ กทม. และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด ทั้งสำนักการแพทย์และสำนักอนามัย และรองปลัดที่ดูแล
ในส่วนของ สปสช. จะได้เร่งดำเนินในส่วนของการพัฒนาระบบพื้นฐานเพื่อรองรับ ทั้งการเชื่อมโยงข้อมูล ระบบการเบิกจ่ายค่าบริการ งบประมาณดำเนินการและการลงทุนในส่วนต่างๆ เพื่อเข้ามาเสริมและสนับสนุน นอกจากนี้ในวันนี้ยังได้หารือถึงความร่วมมือในการลดความแออัดในโรงพยาบาลจากกลไกที่ สปสช. ดำเนินการอยู่ ทั้งโครงการเจาะเลือดผู้ป่วยที่บ้าน โครงการผู้ป่วยรับยาที่ร้านยา และโครงการจัดส่งยาทางไปรษณีย์ เพื่อสนับสนุนนโยบายของท่านผู้ว่าฯ กทม. ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้
“รพ.มงกุฎวัฒนะ" เปิด OPD ถึงเที่ยงคืน รองรับสิทธิบัตรทอง กทม.ที่สถานพยาบาลถูกยกเลิกสัญญา
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ทำการยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการเอกชนจำนวนหนึ่งในพื้นที่ กทม. ส่งผลให้ผู้ใช้สิทธิบัตรทองจำนวนมากมาสถานะเป็นสิทธิว่างซึ่งหมายถึงไม่มีหน่วยบริการประจำ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะซึ่งร่วมกับ สปสช. ให้การดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ปรากฎว่าปัจจุบันมีแนวโน้มผู้ป่วยที่เป็นสิทธิว่างมารับบริการที่คลินิกผู้ป่วยนอกจำนวนมาก ดังนั้น ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าโรงพยาบาลเปิดให้บริการคลินิกผู้ป่วยนอกจนถึงเวลาเที่ยงคืน ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องมาแออัดในเวลากลางวันแต่อย่างใด
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ขยายความว่า โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เข้าร่วมเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตั้งแต่เดือน เม.ย. 2553 โดยรับดูแลผู้ใช้สิทธิบัตรทองประมาณ 5 หมื่นราย และเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อให้กับคลินิกเอกชนซึ่งมีผู้ใช้สิทธิรวมอีกประมาณ 2 แสนราย ดังนั้นจึงมีผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทองมารับบริการจำนวนมากและทางโรงพยาบาลก็ให้บริการคลินิกผู้ป่วยนอกจนถึงเที่ยงคืนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี เนื่องจากเมื่อเร็วๆ นี้ สปสช.ได้ยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการเอกชนอีกหลายแห่ง ทำให้ผู้ใช้สิทธิจำนวนมากที่หน่วยบริการประจำถูกยกเลิกสัญญามีสถานะกลายเป็นสิทธิว่าง โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะได้เตรียมการรองรับผู้ป่วยที่จะมารับบริการ โดยนอกจากเปิดคลินิกผู้ป่วยนอกจนถึงเที่ยงคืนแล้ว ยังได้เพิ่มจำนวนแพทย์ที่ให้บริการในเวลากลางคืนอีก 3 เท่า ทยอยเพิ่มคลินิกสำหรับดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยในให้มากขึ้น
"แต่เนื่องจากผู้ป่วยสิทธิว่างที่มารับบริการจากพื้นที่ต่างๆ ทั่ว กทม. ไม่ทราบว่าโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะให้บริการจนถึงเที่ยงคืน ยังคุ้นชินกับการมารับบริการในเวลากลางวัน ดังนั้นจึงเกิดความแออัดในช่วงกลางวันเป็นอย่างมาก จากปกติจะมีผู้ป่วยที่ OPD วันละประมาณ 400 คน แต่หลังจากมีการยกเลิกสัญญาเกิดขึ้น เฉพาะ 2 วันที่ผ่านมามีผู้มารับบริการที่ OPD เพิ่มเป็น 700 คน ในจำนวนนี้เป็นสิทธิว่างกว่า 400 คน โดยเฉพาะในช่วงเช้าซึ่งแออัดอย่างมากจนไม่มีที่นั่ง ต้องนั่งกับพื้น ด้วยเหตุนี้จึงอยากประชาสัมพันธ์ว่าไม่จำเป็นต้องรีบมาเฉพาะในตอนกลางวัน กระจายกันกลางคืนก็มาได้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดความแออัดและช่วยลดระยะเวลาในการรอพบแพทย์ โรงพยาบาลก็จะได้ให้บริการผู้ป่วยจำนวนมากๆ ได้" พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าว
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ กล่าวต่อไปว่า นอกจากคลินิกผู้ป่วยนอกแล้ว โรงพยาบาลยังเปิดคลินิกโรคเฉพาะทางจนถึงเที่ยงคืนเช่นกัน แต่ผู้ป่วยต้องมาตรวจกับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปก่อน ถ้าแพทย์พิจารณาว่าต้องพบแพทย์เฉพาะทาง ก็จะนัดให้ไปรับบริการในคลินิกเฉพาะทางต่อไป
พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวอีกว่า หากพิจารณาจากแนวโน้มจำนวนผู้ที่มารับบริการแล้วพบว่ายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ โรงพยาบาลอาจพิจารณาขยายเวลาเปิดคลินิกผู้ป่วยนอกเป็นตลอด 24 ชั่วโมงในเดือน พ.ย. อย่างไรก็ดี ยืนยันว่าโรงพยาบาลมีศักยภาพรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นได้และยินดีร่วมแก้ไขสถานการณ์วิกฤติครั้งนี้ แต่หากผู้ป่วยเกิดความไม่สะดวกในการมารับบริการบ้างก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สำหรับแนวทางการดูแลประชาชนในระยะต่อไป พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวว่า โรงพยาบาลกำลังวางแผนเตรียมกระจายผู้ป่วย ด้วยการเปิดคลินิกชุมชนอบอุ่นตามแขวงต่างๆ ในรัศมี 10-20 กม.จากโรงพยาบาล เพื่อทดแทนหน่วยบริการที่ถูกยกเลิกสัญญา อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สปสช. ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องสนับสนุนยืดหยุ่นผ่อนปรนกฎเกณฑ์การขออนุญาตต่างๆ ให้รวดเร็วด้วย ทั้งนี้ โรงพยาบาลตั้งใจให้มีรูปแบบเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมและเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวกมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: