ไม่พบผลการค้นหา
'รวิศ สอดส่อง' ผู้แทน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมงานวันชาติสิงคโปร์ ฉลอง 60 ปีความสัมพันธ์-หนุนต้นแบบ Yellow Ribbon ปรับใช้ในไทย ช่วยออกแบบแนวทางการฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สังคมของผู้ต้องราชทัณฑ์

วันนี้ 6 สิงหาคม 2568 นายรวิศ สอดส่อง บุตรชาย ในฐานะ ผู้แทนพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ ร่วมแสดงความยินดี ครบรอบวันชาติของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ตามคำเชิญของ สาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ณ โรงแรมแชงกรี-ลา เขตบางรัก กรุงเทพฯ โดยมี ฯพณฯ หว่อง เสี่ยว ผิง แคเทอริน (H.E. Ms. Wong Siow Ping Catherine) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ให้การต้อนรับ 

ในปี พ.ศ. 2568 ไทยกับสิงคโปร์ ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลของทั้งสองประเทศมีการร่วมหารือทวิภาคี เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนการเยือน การเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระดับประชาชน และความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงผลักดันความร่วมมือในสาขาใหม่ อาทิ ความมั่นคงทางไซเบอร์ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมทั้ง ฯพณฯ หว่อง เสี่ยว ผิง แคเทอริน (H.E. Ms. Wong Siow Ping Catherine) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทย ร่วมกันให้การต้อนรับ รองศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ไฟซาล อิบราฮิม (Associate Professor Muhammad Faishal Ibrahim) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการมุสลิม และรัฐมนตรีอาวุโสแห่งรัฐ ประจำกระทรวงมหาดไทย สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ ในโอกาสเดินทางมาศึกษาดูงานราชท้ณฑ์ประเทศไทย อย่างเป็นทางการ

ในการหารือดังกล่าว พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ชื่นชมสิงคโปร์โมเดล ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการให้การศึกษาแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้สามารถกลับตนเป็นคนดี มีความรู้ มีทักษะเพียงพอที่จะประกอบอาชีพ และพัฒนาเป็นเครือข่ายที่มีความปลอดภัยในสังคม รวมถึงได้แลกเปลี่ยนแนวทางป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เนื่องจากปัจจุบันยังมีผู้พ้นโทษมากกว่าร้อยละ 50 ที่มีการกระทำความผิดซ้ำ ซึ่งถือเป็นปัญหาที่มีความท้าทาย และต้องเร่งแก้ไข ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่สิงคโปร์มาเยือน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนางานราชทัณฑ์ต่อไป

นอกจากนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยังได้จัดให้คณะเจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะผู้บัญชาการเรือนจำจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปศึกษาดูงานราชทัณฑ์ของสิงคโปร์ ภายใต้หัวข้อ "พหุวัฒนธรรมแห่งการฟื้นฟูไทย สิงคโปร์ : สู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงจากเรือนจำสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน" ระหว่างวันที่ 14-17 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยพบว่าหลายโครงการสามารถนำมาปรับใช้ในประเทศไทยได้เช่นกัน อาทิ การทำงานร่วมกับชุมชนภายใต้โครงการ Yellow Ribbon ซึ่งจะช่วยออกแบบแนวทางการฟื้นฟูและการกลับคืนสู่สังคมของผู้ต้องราชทัณฑ์ที่สอดรับกับวัฒนธรรมเฉพาะของท้องถิ่นและสังคมพหุวัฒนธรรม อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปรับใช้ในบริบทพื้นที่และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระยะยาวด้านกระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาสังคม ทั้งนี้ หากมีโอกาส ในอนาคต ขอเรียนเชิญคณะสิงคโปร์ไปเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อศึกษาบริบทพื้นที่ และร่วมกันพัฒนาชุมชนแห่งความสำเร็จ (Community of Success) ในประเทศไทย

รองศาสตราจารย์ มูฮัมหมัด ไฟซาล อิบราฮิม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการมุสลิม และรัฐมนตรีอาวุโสแห่งรัฐ ประจำกระทรวงมหาดไทย สาธารณรัฐสิงคโปร์ ยังได้ชื่นชม และแสดงความประทับใจต่อความทุ่มเทและตั้งใจจริงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของไทย ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนการมีส่วนร่วมสร้างสันติภาพ และส่งเสริมความสมานฉันท์ในสังคมไทย ซึ่งโดยส่วนตัว มีความดีใจที่เห็นรัฐมนตรีในภูมิภาคอาเซียนมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ เนื่องจากงานราชทัณฑ์ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับสังคม โดยเฉพาะการแก้ปัญหายาเสพติด ซึ่งหากทำสำเร็จจะช่วยแก้ปัญหาอาชญากรรม ลดจำนวนผู้ต้องขัง และลดจำนวนผู้กระทำความผิดซ้ำได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งนี้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันสิงคโปร์สามารถลดอัตราการกระทำความผิดซ้ำได้ และผู้พ้นโทษออกมามีการประกอบอาชีพ เสริมสร้างการพัฒนาสังคม ตลอดจนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งสิงคโปร์มีความยินดีที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความสำเร็จดังกล่าวให้กับไทย 

สำหรับมิติการสร้างสังคมสมานฉันท์ สิงคโปร์ ยินดีแลกเปลี่ยนต้นแบบที่ดีในการดูแลชนกลุ่มน้อย โดยใช้ศาสนานำ และเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีศาสนา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ที่หลากหลาย แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีความขัดแย้ง ซึ่งในประเด็นนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้แสดงความขอบคุณ โดยเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ยกระดับยุติธรรมชุมชนซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ ให้มีบทบาทมากกว่าการให้ความรู้และความช่วยเหลือทางกฎหมาย แต่อาจเพิ่มบทบาทในเชิงการเสริมสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันภายใต้ความแตกต่างหลากหลายภายใต้โมเดล Community of Success ของสิงคโปร์ ซึ่งหากทำสำเร็จจะช่วยให้ประเทศไทย รวมทั้งภูมิภาคมีความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย