ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ระบาดไปทั่วโลก บางชาติโดยเฉพาะฝั่งตะวันตกเริ่มกลับมาเปิดเมือง เปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังประชาชนได้รับฉีดวัคซีนชนิดที่มีประสิทธิภาพอย่างครอบคลุม ตรงข้ามกับอีกหลายชาติที่ยังต้องรับมือการระบาดอย่างหนักอยู่ รวมถึงยังต้องเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อกลายพันธุ์โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ที่หลายชาติต่างหวั่นเกรงการระบาดภายใน
ตั้งแต่ต้นปี 2564 เป็นต้นมา หลายประเทศมีสิ่งที่เหมือนกันคือ ความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีนแก่ประชาชน แต่สิ่งที่ต่างกันคือ วัคซีนที่ใช้นั้นต่างแบรนด์ ต่างชนิด ต่างรูปแบบกัน ท่ามกลางการใช้วัคซีนจากผู้ผลิตทั้งฝั่งจีน และฝั่งตะวันตก หลายชาติตั้งความหวังให้วัคซีนเหล่า จะช่วยเปิดประเทศเปิดเศรษฐกิจเปิดเมืองอีกครั้ง 'มองโกเลีย' เป็นชาติหนึ่งที่รัฐบาลเคยให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนว่า ช่วงฤดูร้อน (ปลายพฤษภาคมถึงกันยายน) ประเทศจะปลอดจากโควิด เช่นเดียวกับบาห์เรนที่รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะมีการกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง ไม่ต่างกับเซเชลส์ ประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กที่มีเป้าหมายเปิดเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวอันเป็นอุตสาหกรรมหลักอีกครั้ง
ทว่าเป้าหมายเหล่านี้กลับชะงักลง เนื่องจากแม้กลุ่มประเทศในข้างต้นจะมียอดประชาชนเข้ารับวัควีนในอัตราส่วนที่สูงหรือเป็นส่วนใหญ่ของประชากรที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกแล้ว แต่กลับไม่ได้ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนลดลงตามแต่อย่างใด สิ่งที่เหมือนกันของกลุ่มประเทศในข้างต้นคือ ล้วนใช้วัคซีนป้องกันโควิดจากจีน ในการเป็นวัคซีนหลักเพื่อแจกจ่ายประชาชนเป็นส่วนใหญ่คือ 'ซิโนฟาร์ม' กับ 'ซิโนแวค'
'จีน' ตั้งเป้าให้สถานะของวัคซีนป้องกันโควิดที่ผลิตในประเทศว่าเป็น "สินค้าสาธารณะของโลก" แต่ 'สินค้า' เหล่านี้กลับกำลังถูกตั้งคำถามจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับโลก รวมถึงของในแต่ละประเทศเกี่ยวกับประสิทธิภาพที่แท้จริงของวัคซีน
ในรายงานของนิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า จีนซึ่งเริ่มประกาศแผนวัคซีนการทูตมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว และเดินหน้าตามแผนการณ์ดังกล่าวภายในปีนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมีราว 32 ประเทศที่ใช้วัคซีนซิโนแวค และอีก 53ประเทศที่ใช้วัคซีนซิโนฟาร์ม จำนวนนี้รวมถึงประเทศไทยด้วยที่ใช้วัคซีนจากผู้ผลิตทั้งสอง อีกทั้งประเทศไทยยังเตรียมสั่งซื้อวัคซีนจากซิโนแวคเพิ่มอีก
แม้วัคซีนทั้งสองชนิดจะได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลกแล้ว แต่ด้วยประสิทธิภาพที่ยังคลุมเคลือ ส่งผลให้หลายฝ่ายเกิดคำถามว่า วัคซีนจากผู้ผลิตจีนจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดในการป้องกันเชื้อไวรัสชนิดกลายพันธุ์
ตามข้อมูลของอนามัยโลกชี้ว่า ซิโนแวคมีประสิทธิภาพป้องกันเชื้อได้ 51% ขณะที่ซิโนฟาร์มที่ราว 78.1%
อย่างไรก็ตาม ประเทศเซเชลส์ ชิลี บาห์เรน และมองโกเลีย ซึ่งใช้วัคซีนทั้งสองชนิดเป็นวัคซีนหลัก ทั้งยังมีอัตราประชากรที่เข้าถึงในเข็มแรกแซงหน้าสหรัฐฯ โดยจากทั้ง 4 ชาตินั้น มีอัตราประชากรไม่น้อยกวา 50 จนถึง 68% ที่ได้รับการฉีดในเข็มแรก แต่อัตราการติดเชื้อก็ยังไม่ลดลง
ขณะเดียวกัน ทางการบาห์เรนเผยเมื่อ 3 มิ.ย. ว่า เตรียมแจกจ่ายวัคซีนไฟเซอร์เป็นบูสเตอร์เข็มที่ 3 แก่ประชาชนที่รับวัคซีนซิโนฟาร์มครบทั้งสองโดสแล้ว โดยเฉพาะประชาชนที่อายุเกิน 50 ปี และมีอาการป่วยเรื้อรังหรือโรคอ้วน การตัดสินใจผสมวัคซีนต่างชนิดเกิดขึ้นท่ามกลางที่รัฐแห่งนี้กำลังประสบกับการระบาดในอีกระลอก แม้ว่าจะมีอัตราการฉีดวัคซีนต่อประชากรสูงกว่าหลายชาติก็ตาม
ส่งผลให้ล่าสุด ประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปิเญรา ผู้นำชิลี ออกมาประกาศว่าหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาใช้วัคซีน 'ซิโนแวค' ในเข็มที่ 3 แก่ประชาชน ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังคงไม่ชัดเจนว่า เหตุใดชิลียังคงเดินหน้าใช้วัคซีนจากจีน ทั้งๆ ที่สามารถเข้าถึงและสั่งซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่มีใช้อยู่แล้วในประเทศมาเป็นวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 3 เรื่องนี้ แม้แต่บรรดาบุคลากรการแพทย์ของชิลีเองก็ยังแสดงความกังวลในประสิทธิผลอันคลุมเครือของวัคซีนซิโนแวคที่รัฐบาลชิลีนำมาแจกจ่ายเป็นวัคซีนหลักแก่ประชาชนเช่นกัน
กรณีตัวอย่างจากชาติเหล่านี้ นิวยอร์กไทมส์ตั้งข้อสังเกตว่า ต่างส่งผลต่อความความเชื่อมั่นของสาธารณชนในการโน้มน้าวให้ผู้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีนจากผู้ผลิตฝั่งจีนที่ในหลายชาติยังคงได้รับมอบและสั่งซื้อเพิ่มเติม รวมถึงประเทศไทยที่สั่งซื้อซิโนแวคเพิ่มเติมด้วย
สื่อสหรัฐฯ ยังระบุว่า กรณีศึกษาของการใช้วัคซีนจีนจากประเทศเหล่านี้ เป็น "เครื่องเตือนใจ" ให้กับประเทศอื่นๆ ที่กำลังพิจารณาใช้วัคซีนของจีนเช่นกัน แม้ว่าประเทศเหล่านั้นจะได้รับมอบวัคซีนฟรีจากรัฐบาลปักกิ่งก็ตาม ซึ่งเป็นการแข่งขันด้านวัคซีนการทูตที่ในช่วงหลัง รัฐบาลไบเดนก็เดินหน้าในนโยบายลักษณะเดียวกัน คือการแจกจ่ายวัคซีนโควิดแก่บรรดาชาติกำลังพัฒนาทั้งหลาย ต่างกันตรงที่วัคซีนจากผู้ผลิตฝั่งตะวันตกนั้น ต่างมีผลการทดสอบและผลการใช้งานจริงที่แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพที่ดีกว่า
นี่ยังไม่นับรวมกรณีของอินโดนีเซีย ซึ่งพบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์ไม่น้อยกว่า 300 คน ติดเชื้อโควิด แม้ได้รับซิโนแวคครบทั้งสองโดสแล้วก็ตาม
โกลบอลไทมส์ สื่อท้องถิ่นของจีน ได้สอบถามไปยังบริษัทซิโนแวค ผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด โคโรนาแวค จากรณีที่พบว่าบุคลากรการแพทย์ในอินโดนีเซียติดเชื้อโควิดกว่า 300 คน แม้ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบโดสแล้วนั้น
ผู้เชี่ยวชาญของซิโนแวคเผยกับโกลบอลไทมส์ว่า วัคซีนไม่ได้ให้ผลการป้องกัน 100% แต่วัคซีนสามารถลดอาการของการติดเชื้อและป้องกันความตายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญจีนยังเรียกร้องว่า แม้จะได้รับวัคซีนแล้วแต่ก็ยังจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด อธิบายง่ายๆ คือวัคซีนจีนฉีดเพื่อ ป้องกันป่วยหนัก - ป้องกันตาย แต่(อาจ)ไม่ได้ป้องกันเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงนัก โดยเฉพาะเชื้อกลายพันธุ์
ขณะที่รายงานผลการศึกษาของกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ระบุว่า วัคซีนซิโนแวคลดความเสี่ยงของอาการป่วยโควิด ในบุคลากรทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 94%
"ในจำนวนนี้ 6,000 คน มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพียง 308 คน หรือประมาณร้อยละ 5.1 ของจำนวนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งหมด ที่แม้ส่วนใหญ่ติดเชื้อ แต่ฟื้นตัวและเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง" รายงานของอินโดนีเซียระบุ โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ในอินโดนีเซียที่ได้รับการฉีดวัคซีนเมื่อเริ่มฉีดวัคซีนซิโนวแวคเมื่อเดือนม.ค.
อย่างไรก็ตาม เว่ย เช็ง (Wei Sheng) ศาสตราจารย์แห่ง School of Public Health of Tongji Medical College of Huazhong University of Sciences and Technology กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี เมื่อวันจันทร์ว่า จากผลการทดลองล่าสุด วัคซีนซิโนแวคมีประสิทธิภาพดีกับตัวแปรของสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)
"จากประสบการณ์ในการป้องกันและควบคุมโรคระบาดในเมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง จะเห็นได้ว่าความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งในทางกลับกันก็แนะนำว่าวัคซีนสามารถป้องกันได้" ศ.เว่ย กล่าว
ผู้เชี่ยวชาญจากจีนยังโต้แย้งว่า การระบาดของแต่ละชาตินั้นไม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนจากจีน อีกทั้งบางประเทศยังแจกจ่ายวัคซีนไม่เพียงพอในระดับที่สามารถป้องกันการระบาดตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก โดยเน้นว่าวัคซีนของจีนมุ่งยับยั้งอาการรุนแรงในผู้ป่วยมากกว่าป้องกันการแพร่ระบาด
ที่มา: NYTimes , Todayonline , Deseret , Telegraph , Reuters , Yahoo , VOA