ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงข่าวครั้งแรกหลังคืนสู่อิสรภาพจากการถูกจองจำคดีการเมือง เมื่อปี 2562 โดยมีแกนนำ นปช. อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ, ธิดา ถาวรเศรษฐ, ก่อแก้ว พิกุลทอง ร่วมแถลง
ณัฐวุฒิ ได้ชี้แจงข้อสงสัยหลัง 'จตุพร พหรมพันธุ์' นัดชุมนุมของเพื่อขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 4 เมษายนนี้ว่า หลังจากออกจากเรือนจำ ยังไม่ได้หารือเรื่องแนวทางทางการเมืองกับจตุพร แต่มีโทรศัพท์พูดคุยตามปะสาคนเคยต่อสู้ด้วยกันมา ดังนั้นการเคลื่อนไหววันที่ 4 เมษายนนั้น ส่วนตัวทราบความเคลื่อนไหวตามข่าวสารที่เผยแพร่เท่านั้น
สำหรับการเคลื่อนไหวเสื้อแดง แกนนำ นปช. ระบุว่ามวลชนเสื้อแดงถือเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ต่อสู้ทางการเมืองมานับสิบปี แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมา ภายหลังจากที่จตุพร ออกจากเรือนจำครั้งล่าสุดได้ไม่กี่วัน มีการสนทนากันในหมู่แกนนำจำนวนหนึ่ง จตุพรจะดำเนินการตั้งพรรคเพื่อชาติ หลังนั่งฟังอยู่ด้วยจนจบตนตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องที่กำลังพูดอยู่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับขบวนการ เพราะการตัดสินใจต้องมีการหารือกันก่อน
หลังการเรียกร้องดังกล่าวก็ไม่มีการนัดหมายประชุมแกนนำ เพื่อนมิตรบางคนก็เห็นด้วยว่าเมื่อตลกงจะทำแล้วควรเดินหน้า บางส่วนก็เห็นว่านี่เป็นกระบวนการที่ไม่สอดคล้องกับที่เราทำกันมา อ.ธิดาก็เรียกร้องให้ประชุม ในที่สุดเมื่อไม่มีประชุมนปช.เพื่อหารือเรื่องดังกล่าวเราก็เห็นว่านั่นคงเป็นแนวทางที่สรุปกันไปแล้ว แล้วเราไม่ได้แสดงความคิดเห็นก็เลยไม่มีการประชุมแกนนำนปช.อีกตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ พวกผมเดินออกมามาจากอิมพีเรียลก็บอกพี่ๆ น้องๆ ว่าเราควรมีที่ทางนั่งพบปะหรือทำกิจกรรมการเมืองด้วยกัน จึงขอเช่าที่นี่ (เอเวอร์รี่มอลล์) เพราะค่าเช่าถูก
“ผมกับคุณจตุพร เราเป็นพี่น้องกัน ในทางส่วนตัวยังไงก็แยกกันไม่ได้ แล้วความปรารถนาดีก็ยังมีให้กันอยู่เสมอ แต่ในแง่กระบวนการทางการเมือง ในการขับเคลื่อนทางการเมืองในฐานะองค์กรนำ นปช.นั้น มันไม่มีความเคลื่อนไหวใดเกือบ 3 ปี ดังนั้นข้อความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่คุณจตุพรและคณะดำเนินการเราก็ยังไม่ได้ทราบเรื่อง"
ในตอนหนึ่ง ณัฐวุฒิ ได้เล่าย้อนการต่อสู้ทางการเมืองของเขาท่ามกลางการถูกดำเนินคดีเอาผิด ว่า ปัจจุบันยังมีคดีความอยู่อีกหลายคดี เป็นหน้าที่ที่ต้องสู้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นคดีจากการชุมนุมเมื่อปี 2552-2553 หรือว่าคดีอื่นๆ สถานะเวลานี้
จึงเป็นสถานะของผู้ถูกจำคุกจากคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งถือว่าคดีถึงที่สุด ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ได้ ไม่สามารถลงสมัคร ส.ส. หรือตำแหน่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่นหรือการเมืองรูปแบบใดก็ตาม
"แต่ในฐานประชาชน ในฐานะบุคคลหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมก็ขอยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยประกาศจุดยืนไว้ตั้งแต่วันแรกของการต่อสู้ทางการเมืองอย่างไร ผมก็ยืนยันจุดยืนเช่นนั้นจนถึงปัจจุบันและตราบจนถึงอนาคต"
เขาบอกอีกว่าไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้ แม้มีคดีความมากมาย ติดคุกแล้ว 3 ครั้ง และไม่แน่ใจว่าจะมีครั้งต่อไปหรือไม่อย่างไรก็ตามสำหรับความเจ็บปวดที่ผ่านมาไม่เคยหวั่นไหวและไม่เคยหวาดกลัว เพราะเชื่อมั่นว่าจุดยืนทางการเมืองที่ได้ประกาศนั้นจะทำให้บ้านเมืองนี้เดินไปข้างหน้า และทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ภายใต้หลักการว่าคนเราเท่าเทียมกัน
"เราไม่มีความจำเป็นต้องทำลายล้างใครให้แตกดับไปจากกัน เพราะในความเป็นจริง ประเทศนี้เดินไปข้างหน้าได้โดยคนทุกฝ่ายทุกความคิด ทุกสถานะอยู่ร่วมกัน ภายใต้ความแตกต่าง ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งความเปลี่ยนแปลง"
อดีตแกนนำ นปช. ได้กล่าวถึงขบวนการต่อสู้ทางการเมืองว่า ในโลกของการต่อสู้มันไม่มีอะไรโรแมนติกชนิดที่เรียกว่าทุกอย่างที่ได้ก้าวย่างบนเส้นทางนี้จะต้องสวยงาม จะต้องถูกอกประทับใจกับคนทุกส่วนทุกฝ่าย ดังนั้นหากมีสิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์จากการต่อสู้ของตนก็ขอมอบสิ่งนั้นเป็นเกียรติยศให้กับประชาชนที่ได้ร่วมต่อสู้กันมา หากมีสิ่งใดซึ่งผู้คนในสังคมเห็นว่าเป็นความผิดพลาด เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ ตนขอน้อมรับสิ่งนั้นเอาไว้เอง
"ผมขอให้ความไม่พอใจ ความไม่เข้าใจ หรือหากเป็นความชิงชัง ผมขอน้อมรับเอาไว้เอง แต่ผมไม่เคยมีเจตนาที่จะทำให้บุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดความเสียหาย ไม่เคยมีเจตนาจะทำลายบ้านเมือง ทำลายชีวิต ทรัพย์สินของใครใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกันทางการเมือง"
ต่อมาประเด็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ ณัฐวุฒิ กล่าวในฐานะผู้เคยมีประสบการณ์บนท้องถนน มองว่าเขาไม่สามารถประเมินว่าความเคลื่อนไหวเวลานี้จะไปได้ไกลแค่ไหนหรือไม่ เพราะว่าเมื่อคนรุ่นใหม่ออกมาต่อสู้ เมื่อพวกเขาได้วางชีวิตอิสรภาพของตัวเองลงเป็นเดิมพันในการต่อสู้นี้ พวกเขาก็เท่ากันกับตน
ถ้าตนเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง เขาก็เป็นนักต่อสู้อีกหลายคน ที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของการต่อสู้เท่าเทียมกัน ตนเคารพในการเคลื่อนไหว เคารพในความคิดเห็นของพวกเขา แล้วก็คิดว่าตนคงไม่แน่พอจะมานั่งประเมินสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยชีวิต ด้วยอิสรภาพและสิ่งที่ต้องเผชิญ
"ถ้าผมจะพูดได้ผมก็จะพูดเพียงว่า ภายใต้จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของผมและของพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาจนวันนี้ ผมขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ในปัจจุบัน พร้อมกันนั้น ผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหาบิดเบือนให้ร้ายป้ายสีว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้หมายถึงการมุ่งร้าย หมายถึงการโค่นล้มทำลายสถาบัน”
ณัฐวุฒิ ยังเล่าถึงบรรยากาศในเรือนจำ เมื่อครั้งมีโอกาสได้พบกับแกนนำราษฎรหลายคน ว่า แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ตามมาตรการกักกันโรค แต่ก็มีช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่เบิกตัวพวกเขาออกมาเพื่อพบทนายความ แม้แต่ละช่วงเวลาได้พูดคุยกันไม่นานนัก แต่ว่าตนคิดว่าห่วงใยพวกเขาทุกเช้าที่ออกจากเรือนนอนแล้วเดินผ่านห้องที่พวกเขาถูกจำขังอยู่ ต้องชะโงกหน้าไปเรียกพวกเขาทุกครั้ง เพราะตนเป็นห่วงพวกเขาปลอดภัยหรือไม่
"ผมได้เห็นพวกเขาคุยกันเอง ผมได้เห็นเวลาเขากิน ผมได้เห็นเวลาเขานอนหลับ ไม่ว่าเขาจะประกาศตัวเป็นนักต่อสู้ นักปฏิวัติ หรือประกาศตัวเป็นผู้กล้าหาญใดๆ ก็ตาม แต่จากสายตาที่ผมเห็น จากเลือดเนื้อชีวิตที่ผมได้สัมผัส จากประสบการณ์ที่ผมผ่านพบมาจนเป็นพ่อคน สิ่งหนึ่งที่เขาปิดบังผมไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธผมไม่ได้คือ พวกเขายังเป็นเด็ก"
ดังนั้นตนคิดว่าประเทศนี้ไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตที่สดใสงดงามได้เลย ตราบเท่าที่อนาคตของชาติยังอยู่ในกรงขัง เราไม่สามารถจะกล่าวอ้างอธิบายใดๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำทำเพื่อลูกหลาน ในวันที่ลูกหลานยังไม่ได้กินข้าว ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขังร้องห่มร้องไห้หวาดกลัวความตายและโหยหาอิสรภาพ
ในความเคลื่อนไหวของพวกเขา ไม่ว่าจะแนวคิดหรือแนวทางการต่อสู้ มีทั้งส่วนที่ตนเห็นด้วยและมีทั้งส่วนที่ผมห่วงใย แต่ในความเป็นคนหนุ่มสาวของพวกเขา ในพลังบริสุทธิ์ของพวกเขา ตนมีแต่ความรู้สึกรัก ห่วงใย เอาใจช่วยเพียงอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกอื่น
ขณะเดียวกันณัฐวุฒิ เชื่อว่าสังคมไทยไม่ควรมองเห็นชีวิตและอิสรภาพของคนหนุ่มสาวที่กำลังถูกกระทำเป็นชัยชนะ เป็นความสะใจ เป็นเรื่องที่ยอมให้เกิดขึ้นได้ เพียงเพราะเขายืนอยู่คนละฝ่ายกับอำนาจ หรือยืนอยู่คนละฝ่ายกับคนบางกลุ่มเท่านั้น ถ้าบ้านเมืองมันเดินไปตามวิถีทางที่ถูกต้องจริง
เขามองว่าถ้าบ้านเมืองมันปกครองในระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ไม่มีอำนาจนอกระบบมาแทรกแซง ไม่มีเผด็จการรัฐประหารมายึดกุมประเทศ ไม่มีกติกากดขี่เช่นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เด็กพวกนี้ต้องอยู่ในห้องเรียนไม่ใช่อยู่ในห้องขัง เด็กพวกนี้ต้องใช้สติปัญญาใช้วิชาความรู้ของตัวเอง นำพาตัวเองให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นความหวังเป็นอนาคตของคนทั้งชาติ
"ถ้าเปรียบประเทศเป็นบ้าน คนรุ่นพวกเราเป็นพ่อแม่ คนหนุ่มสาวรุ่นปัจจุบันเป็นลูก พ่อแม่ทะเลาะกันสิบกว่าปีจนวันหนึ่งลูกโตขึ้นแล้วลุกขึ้นตะโกนขึ้นกลางบ้าน สิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องทำคือ ตั้งใจฟังเขา พยายามที่จะแก้ไขปัญหาให้เขา หรือแก้ไขปัญหาร่วมกับเขา ไม่ใช่เอาเขาไปขัง"
คนรุ่นใหม่เขาอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริงของสถานการณ์ และตนคิดว่าใครก็ตามในบ้านเมืองนี้ไม่ควรเกรงกลัวหรือปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง ในโลกใบนี้ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องแน่นอนที่สุด เมื่อพลังของความเปลี่ยนแปลงส่งสัญญาณมาชัดขนาดนี้ กลายเป็นว่า ผู้มีอำนาจกลายเป็นรัฐได้ทุ่มเทใช้กำลังใช้กฎหมาย ใช้ทรัพยากรใช้ความรุนแรง ใช้ทุกอย่างเพื่อพยายามควบคุม ทั้งๆ ที่สิ่งที่เป็นจริงควรจะพยายามเข้าใจมันต่างหาก
“ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครไปล้างสมอง ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของคนหนุ่มคนสาวในวันนี้ จนถึงขั้นทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหว สามารถทำอะไรก็ตามตามแต่คนล้างสมองปรารถนา ผมไม่เชื่อ”
อดีตผู้ต้องขังคดีการเมือง ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าที่ต้องประกาศจุดยืนเคียงข้างคนรุ่นใหม่คือ ในนามของความเป็นมนุษย์ ตนเป็นคนเสื้อแดง เป็นมาสิบกว่าปีจนบัดนี้ก็ยังเป็น ด้วยการต่อสู้ร่วมกับพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์มา 10 กว่าปี
"เราเป็นคนที่ถูกยิงทิ้ง เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราถูกจำขัง ถูกไล่ล่า ถูกเขาเหยียบย้ำ แบกรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามต่างๆ มากมาย เราถูกยิงตายกลางถนนเป็นร้อย แล้วเขาก็ออกมาล้างถนน คดีของพี่น้องที่บาดเจ็บล้มตายไม่ถึงศาล เราถูกเรียกเป็น ควาย เราถูกตราหน้าว่าเป็นขบวนการรับจ้าง เราถูกกาหัวว่าเป็นพวกไร้การศึกษา เป็นคนไร้ค่า สิบกว่าปีที่ผ่านมาพวกผมต่อสู้แล้วเจอกับสิ่งนี้"
แต่คนหนุ่มสาวเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่หยิบยื่นความเข้าใจ หยิบยื่นความเห็นใจ และหยิบยื่นเกียรติยศให้พวกตน พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกตนกลางท้องถนน พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจเราแล้วเห็นใจเรา อยากขอโทษเพราะเมื่อก่อนเข้าใจผิด พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ ในนามของความเป็นมนุษย์ตนทิ้งพวกเขาไม่ได้
"ผมมีโลกใบเดียว ถ้าผมต่อต้านเผด็จการในเมียนมา ผมก็ต่อต้านเผด็จการในประเทศไทยด้วย ถ้าผมประณามการเข่นฆ่าประชาชนที่เมียนมา ผมก็ต้องไม่ยอมรับการกระทำใดๆ ต่อประชาชน ต่อคนหนุ่มสาวในประเทศไทยด้วย"
สำหรับการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ พร้อมร่วมขบวนปราศรัยร่วมกับชุมนุมคนรุ่นใหม่หรือไม่ ณัฐวุฒิ กล่าวว่า "ผมเคารพพวกเขาด้วยหัวใจ แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องการเรียนรู้ ประสบการณ์ พัฒนาการ คงไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ๆ จะลงจากโต๊ะแถลงข่าวพรวดพราดไปขึ้นเวทีที่น้องๆ เขาสู้กันอยู่ แต่อนาคตข้างหน้าถ้าสถานการณ์มันเกิดความจำเป็น ถ้าสถานการณ์ไม่อาจมีวิธีการอื่นก็ขอให้เป็นเรื่องอนาคต"