วันที่ 2 ส.ค. วันชัย สอนศิริ สว. ซึ่งเป็นหนึ่งใน 13 สว. ที่ออกเสียงเห็นชอบให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี นัดสื่อมวลชนแถลงข่าวถึงจุดยืนต่อการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 4 ส.ค. นี้ รวมถึงแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย
โดย วันชัย เชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ถ้าไม่วิตกกังวลเรื่องขั้วนั้นขั้วนี้ หรือจะยืนอยู่ตรงกลางก็ได้ กล้าดำเนินการโดยเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ฝากไปยังพรรคเพื่อไทยให้จัดตั้งรัฐบาลให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อความหวังของประชาชนที่รออยู่ อย่าวิตกเรื่องขั้วนั้นขั้วนี้ เพราะถ้าเป็นรัฐบาลแล้วแก้ปัญหาประชาชนได้ ครั้งหน้าประชาชนก็ต้องเลือกอีก หากมาเป็นรัฐบาลแล้ว ผลงานที่ทำจะเป็นการลบข้อครหาต่างๆ ได้
"ไม่ต้องคำนึงกับข้อกล่าวหาว่าพรรคใดที่เป็นเผด็จการ สส.ทุกคนมาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีศักดิ์ศรี ไม่ได้มาด้วยปืนหรือวิธีการอื่นใด ข้อกล่าวหานี้ควรจบตั้งแต่การเลือกตั้งแล้ว"
วันชัย ปฏิเสธจะให้ความเห็นว่าพรรคเพื่อไทยควรปล่อยมือจากพรรคก้าวไกลหรือไม่ โดยระบุว่า ในเมื่อพรรคเพื่อไทยทราบปัญหาแล้ว ในการโหวตนายกฯ ครั้งที่ผ่านมา สว.ไม่ยอมรับแกนนำพรรคก้าวไกล และนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พรรคเพื่อไทยก็ควรต้องแก้ที่ปัญหาดังกล่าวให้ได้
"พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเองว่าจะเกาะกันไปแบบนี้ โดยไม่สามารถสำเร็จได้ ไม่สามารถทำงานให้กับประชาชนได้ หรือเอา MOU เป็นตัวตั้ง ปัญหาของประชาชนรออยู่ โดยหลักการเมื่อประชาชนเลือกตั้งมา ต้องรีบมาเป็นรัฐบาลแก้ปัญหาให้ประชาชน"
วันชัย ยังมองว่า เสียงเห็นชอบจาก สว.อาจจะมากขึ้น เมื่อเปลี่ยนแกนนำมาเป็นพรรคเพื่อไทย แต่ไม่แน่ใจว่าจะมากพอหรือไม่ หากไม่มีเรื่อง มาตรา 112 หรือพรรคก้าวไกล สว.ก็คงไม่มีปัญหา เพราะต่างก็รู้ดีว่าปล่อยให้เนิ่นช้าไปโดยไม่มีรัฐบาลไม่ได้
"ไม่ต้องไปแนะนำให้ปล่อยมือ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยตัดสินใจได้เอง เราไม่มีสิทธิไปบอกให้เอาคนนั้นคนนี้ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังรับรู้ไม่ได้ ก็ไม่ควรจะเป็นแกนนำ"
ขณะที่มี สว.บางส่วนชี้ว่า เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เคยประกาศจุดยืนแก้ไขมาตรา 112 นายวันชัย กล่าวว่า ล่าสุด นายเศรษฐา แถลงแล้วว่าไม่คิดแก้ไขมาตรา 112 และไม่ใช่นโยบายของพรรคเพื่อไทย ปัญหานี้จึงน่าจะไม่ขัดข้อง เขาพูดก็ต้องเชื่อจากคำพูด และพรรคเพื่อไทย คงไม่ใช่ นายเศรษฐา คนเดียว อยู่ที่นโยบายพรรคด้วย ถ้าพรรคไม่มีการแก้ มาตรา112 เป็นนโยบาย ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ขณะเดียวกันหากไม่มีพรรคร่วมที่เสนอนโยบาย มาตรา 112 ก็ไม่มีขัดข้อ
"ลำพังเปลี่ยนแกนนำมาเป็นเพื่อไทย สว.อาจจะเพิ่มกว่า 13 คน เพราะเขารู้กระแสสังคม แต่จะมากเกิน 375 หรือไม่ ไม่แน่ใจ เท่าที่ผมฟังจากเพื่อนๆ สว. ถ้าไม่ใช่แกนนำจากก้าวไกล ก็เชื่อว่าเสียงเพิ่ม แต่ถ้าไม่มีพรรคร่วมเสนอนโยบาย มาตรา 112 ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น"
วันชัย ยังยอมรับว่า ด้วยประสบการณ์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย น่าจะมีศักยภาพในการประสานงานกับกลุ่มต่างๆ ทั้ง สส. สว. ข้าราชการ ตำรวจ ดังที่เห็นว่าตนและ สว. หลายคนก็ได้รับการประสานจากพรรคเพื่อไทย ขณะที่พรรคก้าวไกลก็เคยติดต่อมาหาตน แต่เมื่อสอบถามเพื่อนๆ สว. ก็ทราบว่าไม่ได้ติดต่อมา
"ถ้าในสถานการณ์นี้ เวลานี้ พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล ถ้าถามผม เผลอๆ พรรคเพื่อไทยอาจหากไปจากการเมืองก็ได้ ตอนนี้เป็นจังหวะ เป็นโอกาส เป็นความลงตัวพอดี ที่พรรคเพื่อไทยต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ แล้วก็ใช้ความสามารถในการเป็นรัฐบาล แก้ปัญหาให้ประชาชนได้"
เมื่อถามว่า ฟันธงได้หรือไม่ว่าการโหวตนายกฯ จะจบที่ได้นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย วันชัย กล่าวว่า "ถ้าให้เป็นความคิดของผม ผมว่าจบที่เพื่อไทย"
ขณะที่การล่าแม่มด สว. นั้น วันชัย ยอมรับว่า สว. โดนกันทุกคน ตนก็โดนทั้งที่บ้านและที่สำนักงาน และยิ่งใครออกมาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับก้าวไกลก็โดนกันหมด แต่ถ้าเรายึดมั่นในการต่อสู้กับนโยบายแบบนี้ ท่านก็ต้องแลก ถือว่าถ้าจะทำงานเพื่อชาติและประชาชน ก็ต้องยอมเปียกบ้าง
"ลำพังเปลี่ยนแกนนำมาเป็นเพื่อไทย สว.อาจจะเพิ่มกว่า 13 คน เพราะเขารู้กระแสสังคม แต่จะมากเกิน 375 หรือไม่ ไม่แน่ใจ เท่าที่ผมฟังจากเพื่อนๆ สว. ถ้าไม่ใช่แกนนำจากก้าวไกล ก็เชื่อว่าเสียงเพิ่ม แต่ถ้าไม่มีพรรคร่วมเสนอนโยบาย มาตรา 112 ก็จะทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น"
เมื่อถามถึง สว. บางส่วนที่ประกาศจะปิดสวิตช์ตัวเองด้วยการงดออกเสียงในการโหวตนายกฯ วันชัย มองว่า ความคิดเห็นของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ อาจจะมีทั้งคนที่ปิดสวิตช์ถาวร หรือคนที่คิดได้ว่า ปิดสวิตช์แล้วเท่ากับไม่สนับสนุนรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมาก หรือเห็นว่านโยบายเกี่ยวกับมาตรา 112 ไม่มีแล้ว ความคิดอาจจะเปลี่ยนไปหน้างานได้
เมื่อถามว่าหลังเคยโหวตเห็นชอบให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกลไป มีกระแสกดดันบ้างหรือไม่ วันชัย กล่าวว่า ตนได้เคยประกาศจุดยืนไปแล้ว ว่าจะโหวตให้นายกฯ จากฝั่งเสียงข้างมาก และตนแจ้งให้เพื่อน สว. รับทราบแล้ว เพื่อน สว. ส่วนใหญ่จึงเข้าใจในจุดยืน แต่คนที่จู่ๆ มาโหวตให้ ก็อาจจะเป็นที่แปลกใจว่ามาได้อย่างไร ด้วยเหตุผลอะไร
ส่วนการกดดันนั้น เท่าที่ฟังไม่มี แต่ในขณะที่เพื่อนส่วนใหญ่โหวตไปอีกทาง และเราโหวตไปอีกทาง อาจจะเป็นแค่เรื่องความรู้สึก แต่การกดดันอื่นๆ นั้นไม่มี ทุกคนยังทำงานตามปกติ
วันชัย กล่าวถึงการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ของพรรคก้าวไกล เพื่อยกเลิกอำนาจ สว. โหวตนายกรัฐมนตรี หรือ 'ปิดสวิชต์ สว.' โดยระบุว่า ที่ประชุมรัฐสภาจะยังไม่สามารถพิจารณาวาระดังกล่าวได้ เพราะองค์ประกอบเสียงไม่ครบ เนื่องจาก ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเสียง สส.ฝ่ายค้าน และ สส.ฝ่ายรัฐบาล จึงเชื่อว่า แม้ที่ประชุมจะสามารถอภิปรายได้ แต่ก็จะมีปัญหาในการลงมติ
อย่างไรก็ตาม หากมีรัฐบาลแล้ว เชื่อว่าเสียงของ สว. ก็อาจจะเปลี่ยนไป เพราะการโหวตนายกฯ หรือเงื่อนไขต่างๆ ก็ผ่านไปแล้ว พร้อมมองว่า จะแก้หรือไม่แก้มาตรา 272 ก็มีค่าเท่ากัน วาระของ สว. ชุดปัจจุบันก็เหลืออีกไม่กี่เดือน การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคก้าวไกลดังกล่าว จึงเป็นเพียงสัญลักษณ์มากกว่าจะหวังให้บรรลุผล
เมื่อถามถึงการรอ 10 เดือนให้ สว. ชุดปัจจุบันหมดวาระนั้น วันชัย อธิบายถึงอำนาจโหวตนายกฯ ของ สว. ตามมาตรา 272 จะหมดไปเมื่อครบ 5 ปีแล้ว สว. จะโหวตนายกอีกไม่ได้ หลังจากวันที่ 11 พ.ค. 2567 ไปแล้ว สว. ชุดนี้จะหมดวาระ และมีกระบวนการสรรหา สว. ชุดใหม่ ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน สว.ชุดเดิมจึงอาจจะรักษาการทำหน้าที่ได้ แต่ไม่มีอำนาจในการโหวตนายกฯ อีกต่อไป แม้จะยังไม่มีผู้รับตำแหน่งนายกฯ ก็ตาม หากพ้นวันที่ 11 พ.ค. 2567 ไป ต้องใช้เสียง สส. โหวตนายกฯ เท่านั้น