นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า หากจำกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โจมตีนโยบายประชานิยมตั้งแต่เริ่มทำปฏิวัติรัฐประหาร อีกทั้งได้ยกเรื่องประชานิยมเป็นเหตุผลหนึ่งของการปฏิวัติรัฐประหารด้วย ทั้งนี้ยังไม่พอ ตอนร่างรัฐธรรมนูญใหม่ยังบอกจุดประสงค์ชัดเจนว่าป้องกันไม่ให้มีประชานิยมเพื่อป้องกันประเทศล่มจมจากการแจกเงิน ถึงกับต้องมีการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขึ้นมาเพื่อกำกับไม่ให้มีการแจกเงินสะเปะสะปะ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตลอด 3-4 ปีแรก ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แทบจะไม่ช่วยเหลือประชาชนเลย โดยจ่ายเงินช่วยประชาชนน้อยมาก ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมาก แต่พอใกล้จะเลือกตั้ง รัฐบาลกลับมีการแจกเงินแบบอีลุ่ยฉุยแฉก โดยเฉพาะบัตรคนจน และหลังเลือกตั้งยิ่งแจกเงินมากขึ้น จึงอยากถามว่านี่เป็นการแจกเงินที่แย่ยิ่งกว่าประชานิยมใช่หรือไม่ และฝากถามไปยังคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติว่า การดำเนินการดังกล่าวผิดกับยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้ใช่หรือไม่ โดยอยากให้พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้พิจารณา เพื่อหยุดการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เพราะเชื่อว่าหากเป็นพรรคฝั่งตรงข้ามที่เป็นรัฐบาล ป่านนี้อาจจะถูกคณะกรรมการยุทธศาสตร์สั่งหยุดการบริหารประเทศแล้ว
เพราะนอกจากรัฐบาลจะแจกเงินอย่างมโหฬาร ล่าสุดแจกกว่า 3 แสนล้านบาทแล้ว และยังจะแจกเพิ่มอีก แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยกลับยังต่ำมาก และโตต่ำมาโดยตลอด ไม่ได้ขยายตัวถึงปีละร้อยละ 5 ตามที่ยุทธศาสตร์ชาติกำหนดไว้ และไม่เคยถึงปีละร้อยละ 5 เลยตลอด 5 ปีกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารประเทศมาโดยเศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ยได้เพียงปีละประมาณร้อยละ 3 เท่านั้น รวมถึงปีนี้ด้วยที่อาจจะขยายตัวต่ำลงอีก ประเทศที่กำลังพัฒนาแบบประเทศไทยหากขยายเศรษฐกิจได้ไม่ถึงร้อยละ 5 ก็ต้องถือว่าติดลบและล้มเหลวแล้ว
ซึ่งหลักการนี้ สามารถสอบถามจาก "อาจารย์โกร่ง" ดร. วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกฯ และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องกำหนดร้อยละ 5 ไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สอบตกมาตลอด 5 ปีกว่าที่บริหารและมีแนวโน้มว่าจะสอบตกและล้มเหลวต่อไปอีกตลอดเวลาที่ยังคงบริหารประเทศต่อ ซึ่งถ้าหากจะอยู่ครบถึง 8 ปีจริงตามที่หมอดูที่รัฐบาลจ้างมาให้เป็นข้าราชการการเมืองทำนาย ประเทศไทยจะยิ่งล้าหลัง และล้มเหลวอย่างแน่นอน
ดังนั้น อย่าได้สงสาร พล.อ.ประยุทธ์ตามที่เจ้าตัวร้องขอเลย ให้สงสารประเทศไทยและคนไทยมากๆ จะดีกว่า เพราะประชาชนจะยิ่งลำบากกันอย่างมาก และการที่พล.อ.ประยุทธ์ สั่งทุกหน่วยงาน รวมถึง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ให้ออกมาบอกว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ถดถอยนั้น ก็เป็นเรื่องจริง เพราะหากดูตัวเลขจีดีพีที่ยังเป็นบวกไม่ติดลบ แมัจะบวกน้อยลงมากเหลือแค่ ร้อยละ 2.3 เท่านั้น แต่ถ้าหากวัดจากรายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ที่รายได้ลดลงมาตลอด ต้องบอกว่าเศรษฐกิจของคนไทยได้ถดถอยมา 5 ปีแล้ว และที่เศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมขยายตัว รายได้ที่เพิ่มก็ไปเพิ่มเข้ากระเป๋านายทุนและมหาเศรษฐีที่สนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น ประชาชนจึงรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยถดถอย ซึ่งคงปฏิเสธยากเพราะเงินในกระเป๋าประชาชนส่วนใหญ่ลดลงมาหลายปีติดกัน จนทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูง
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว เพราะเศรษฐกิจโลกยังอาจจะชะลอตัวลงอีกได้ ต่างกับที่พรรคพลังประชารัฐทั้งหัวหน้าพรรคและรองโฆษกพรรคพยายามให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับประชาชนที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้น ซึ่งจะถือว่าเป็นการปล่อยเฟคนิวส์หรือไม่
ทั้งนี้ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปศึกษาแนวคิดของนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ล่าสุดออกมาเตือนว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ต้องเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของโลกและพฤติกรรมของผู้ใช้บริการธนาคารที่เปลี่ยนไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นกบต้มตายคาหม้อได้ ซึ่งประเทศไทยก็เช่นกัน หากไม่เร่งปรับเปลี่ยนวิธีการคิดและวิธีการดำเนินการอย่างรวดเร็วและรุนแรง ใช้วิธีคิดแบบเก่าๆ วิธีทำแบบเดิมๆ ย้อนหลังไป 30 ปี ทำทุกวิธีที่จะสืบทอดและรักษาอำนาจ แบบที่สื่อต่างประเทศวิจารณ์ ประเทศไทยจะตกยุคและกลายเป็นกบต้มตายคาหม้อเร็วมาก และสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจโลกที่อาจจะตกต่ำจนถึงถดถอยได้จะเป็นเหมือนการเร่งไฟให้กบสุกและตายเร็วขึ้น
จึงต้องขอร้อง พล.อ.ประยุทธ์ว่า อย่าได้แจ้งจับประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารไทยพาณิชย์ไปดำเนินคดีเพราะพูดเรื่องกบต้มเหมือนที่ตนเคยพูดเลย เพราะทฤษฎีกบต้มนี้มีอยู่จริง ที่ พล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่ได้มีความรู้จึงได้ส่งคนมาดำเนินคดีกบต้มกับตน