เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (15 ม.ค.) หุ้นของบริษัทเน็ตฟลิกซ์ทะยานสูงขึ้นร้อยละ 6.5 หลังมีข่าวว่าบริษัทปรับขึ้นราคาค่าให้บริการอีกครั้ง แพ็กเกจถูกที่สุด ปรับขึ้นจาก 8 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 255 บาท เป็น 9 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 287 บาท ในขณะแพ็กเกจเฮชดี (HD) ซึ่งมีผู้ใช้งานมากที่สุด ปรับขึ้นจาก 11 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 350 บาท เป็น 13 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 414 บาท และแพ็กเกจ 4 K ปรับขึ้นจาก 14 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 446 บาท เป็น 16 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 510 บาท

โดยผู้ชมในแถบละตินอเมริกา แคริบเบียน และประเทศอื่นๆ จะต้องเผชิญกับอัตราค่าใช้งานที่สูงกว่าราคาที่แถลง ในขณะที่ประเทศตลาดต่างประเทศใหญ่ๆ อย่างบราซิลและเม็กซิโกจะไม่ได้รับผลกระทบตรงนี้

การปรับราคาขึ้นในครั้งนี้เป็นไปเพื่อระดมทุนในการสร้างหนังและซีรีย์ที่เป็นของเน็ตฟลิกซ์ซึ่งใช้มูลค่าในการลงทุนสูง และการจ่ายหนี้ในการขจัดคู่แข่งอย่าง แอมะซอน ดิสนีย์ และแอปเปิล

เน็ตฟลิกซ์ปรับราคาขึ้นถึงร้อยละ 13 - 18 เป็นครั้งแรกตั้งแต่บริษัทให้บริการมาเป็นเวลา 12 ปี และจะส่งผลต่อผู้สมัครรายใหม่ทันที ในขณะที่ผู้ใช้เดิมจะเห็นราคาแจ้งเปลี่ยนในใบเรียกเก็บเงินในอีก 3 เดือนถัดจากนี้

เน็กฟลิกซ์ ปรับค่าใช้บริการขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ตั้งแต่เปิดให้บริการมา โดยครั้งล่าสุดที่บริษัทปรับขึ้นค่าใช้บริการ คือในเดือนตุลาคม 2560 ส่งผลให้หุ้นปรับตั้วสูงขึ้นร้อยละ 3 ในวันแถลง ในขณะที่การปรับค่าใช้บริการครั้งอื่นๆ ก่อนหน้าไม่ได้ส่งผลกับหุ้นของบริษัทมากนัก

ในไตรมาสที่แล้ว บริษัทรายงานอัตราการเติบโตของผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการเน็กฟลิกซ์ประจำอยู่ที่ 58 ล้านคนในสหรัฐฯ และมากกว่า 78 ล้านคนนอกสหรัฐฯ

ในปี 2561 หุ้นของเน็กฟลิกซ์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหุ้นที่ดีที่สุดในกลุ่ม เอฟเอเอเอ็นจี (FAANG) หรือกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี 5 บริษัทชั้นนำ ซึ่งประกอบไปด้วย เฟซบุ๊ก, แอปเปิล, เน็ตฟลิกซ์, แอมะซอน และ อัลฟาเบท ในขณะที่ช่วงสัปดาห์แรกของปี 2562 หุ้นของเน็ตฟลิกซ์ทำกำไรไปได้กว่าร้อยละ 30

อ้างอิง; CNBC