พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่งตั้ง พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ให้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว โดยจะเริ่มรับงานใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ เป็นข้อมูลจากกองงานเลขานุการของคณะ
โดยเหตุผลสำคัญของการแต่งตั้ง พล.อ.วัลลภ ก็เพื่อให้มีการสานต่องานให้ต่อเนื่อง เพราะ พล.อ.วัลลภ ทำงานในเรื่องการพูดคุยสันติสุข/สันติภาพมาโดยตลอดในตำแหน่งเลขาธิการ สมช.
ทั้งนี้ พล.อ.วัลลภ จะมาแทนที่ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ที่ไปทำหน้าที่เป็นวุฒิสมาชิก แต่ พล.อ.อุดมชัย จะยังคงทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้กับทีมงานต่อไป เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมารวมทั้งได้รับการยอมรับจากฝ่ายรัฐและกองทัพภาคที่ 4 ข้อมูลจากกองงานระบุ
หลังจากนี้คาดว่า พล.อ.วัลลภจะมีกำหนดนัดหมายพบปะประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ต่อไปในอนาคต
ด้าน พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการ สมช. ขอบคุณทุกส่วนที่ร่วมกันทำงาน ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งภายหลังเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย. นี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แต่งตั้งตนเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้ มาลาปาตานี แทน พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ อดีตหัวหน้าคณะพูดคุย ที่จะไปดำรงตำแหน่ง ส.ว. โดยจะรับตำแหน่งในวันที่ 1 ต.ค. นี้ พร้อมระบุว่า จะสานต่อในงานพูดคุยสันติสุขร่วมกับคณะพูดคุยมาเลเซียที่ยังไม่มีท่าทีเปลี่ยนคณะพูดคุยแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่าการพูดคุยสันติสุขเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีการชี้แจงภายหลังเข้ารับตำแหน่งอีกครั้ง
พลเอกวัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ระบุ นอกจากนี้ พล.อ.วัลลภ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบูรณาการฐานข้อมูลด้านความมั่นคง ครั้งที่ 1/2562 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน ซึ่งในที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าโครงการพัฒนาระบบความเชื่อมโยงข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเพื่อจัดตั้งฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแห่งชาติตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมา
รวมทั้งได้พิจารณาเห็นชอบร่างแผนการบูรณาการข้อมูลด้านความมั่นคง (2562-2565) โดย สมช. ได้จัดทำแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นความมั่นคงที่ให้ความสำคัญกับการจัดระบบข้อมูลด้านความมั่นคงเพื่อสนับสนุนการพัฒนากลไกบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์ประกอบ และมอบให้ สมช. นำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาความผิดชอบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นกรอบการดำเนินงานต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง