ไม่พบผลการค้นหา
นักการทูตรัสเซียประจำองค์การสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา ประกาศลาออกจากตำแหน่งของตนเองเพื่อประท้วงสงครามอัน “นองเลือด ไร้สติปัญญา” ซึ่ง “กระทำโดยปูตินต่อยูเครน” ทั้งนี้ การตัดสินใจของนักการทูตรายดังกล่าว อาจทำให้รัสเซียตั้งข้อหาการเป็นกบฏต่อเขาได้

บอริส บอนดาเรฟ ผู้ที่มีบัญชีผู้ใช้ LinkedIn ระบุว่าเป็นนักการทูตรัสเซียประจำองค์การสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา กล่าวกับทางสำนักข่าว BBC ว่า รัฐบาลรัสเซียอาจคาดโทษการเป็นกบฏให้กับเขา หลังจากตนตัดสินใจลาออกเพื่อประท้วงสงครามในยูเครน ที่บอนดาเรฟเรียกว่าเป็นสงคราม “อาชญากรรมต่อประชาชนชาวยูเครน” และ “ประชาชนชาวรัสเซีย”

อย่างไรก็ดี ทางการรัสเซียยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ใดๆ ถึงจดหมายของบอนดาเรฟ ทั้งนี้ ตั้งแต่สงครามในยูเครนเกิดขึ้นหลังจากการรุกรานของรัสเซีย รัฐบาลรัสเซียได้ทำการปราบปรามผู้วิพากษ์วิจารณ์ หรือผู้ที่แสดงความเห็นค้านต่อการที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียตัดสินใจสั่งให้กองทัพของตนรุกรานประเทศเพื่อนบ้านอย่างยูเครน

ทางการรัสเซียเรียกการรุกรานยูเครนว่าเป็นเพียงแค่ “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” และสั่งการควบคุมการนำเสนอและการให้ความเห็นใดๆ ว่าการยกกองทัพรัสเซียเข้าไปยังยูเครนนั้นเป็นสงคราม นอกจากนี้ หลังจากที่ทั่วโลกได้พบกับภาพสยองขวัญ ที่กองทัพรัสเซียเข้าเข่นฆ่าประชาชนชาวยูเครนทั่วทั้งประเทศ ในขณะที่รัสเซียปฏิเสธว่ากองทัพของตนไม่เคยสังหารพลเรือนชาวยูเครนเลย

บอนดาเรฟอธิบายในแถลงการณ์ของตนเองว่า เขาตัดสินใจลาออกจากอาชีพนักการทูตที่ตนทำมานานกว่า 20 ปี ด้วยเหตุผลว่าตนไม่อยากจะ “มีส่วนร่วมในความอัปยศอันกระหายเลือด ไร้เหตุผล และไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่งนี้อีกต่อไป” บอนดาเรฟยังได้วิจารณ์ไปถึงปูตินว่า “ผู้ก่อสงครามครั้งนี้ต้องการเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น (คือ) อยู่ในอำนาจตลอดไป”

“เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น พวกเขาเต็มใจที่จะยอมสูญเสียหลายชีวิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะต้องใช้” บอนดาเรฟกล่าว "ชาวรัสเซียและยูเครนหลายพันคนเสียชีวิตเพื่อสิ่งนี้" ในจดหมายของบอนดาเรฟยังได้วิจารณ์กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียว่าเอาแต่สนใจในเรื่อง "การโกหกและความเกลียดชัง" มากกว่าการทูต

บอนดาเรฟยอมรับกับ BBC ว่า จดหมายลาออกของเขาจะไม่ได้ชักจูงให้นักการทูตรัสเซียคนอื่นๆ ตัดสินใจลาออกตามที่ตนเพิ่งทำลงไป และบอนดาเรฟยืนยันว่าตนเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อยของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย สถานที่ที่มีบุคลากรพร้อมจะให้การสนับสนุน “ปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” ในยูเครนต่อไป

บอนดาเรฟยังได้ระบุกับ BBC อีกว่า ตน “ไม่เห็นทางเลือกอื่นใด” นอกจากการลาออกจากการเป็นนักการทูตของรัสเซีย “ผมไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากถ้าให้พูดกันตรงๆ แต่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นอิฐก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่ถูกวางลงไปในกำแพงมากกว่า ซึ่งในที่สุดมันก็ถูกสร้างขึ้น ผมหวังว่าอย่างนั้น” บอนดาเรฟยังได้ระบุอีกว่า เพื่อนร่วมงานนักการทูตรัสเซียหลายคนของเขารู้สึก “มีความสุข ความยินดี อิ่มอกอิ่มใจ” กับการที่รัสเซียรุกรานยูเครน “ด้วยกระบวนการที่โหดร้ายรุนแรง”

“ตอนนี้พวกเขาไม่ค่อยมีความสุขกับเรื่องเหล่านั้น เพราะเรากำลังประสบกับปัญหาบางอย่าง อันดับแรกเลยคือเรื่องเศรษฐกิจ” บอนดาเรฟกล่าว “แต่ผมไม่เห็นว่าหลายคนจะกลับใจและเปลี่ยนมุมมองของพวกเขาเลย พวกเขาอาจกลายเป็นคนหัวรุนแรงน้อยลงเล็กน้อย ก้าวร้าวเบาลงอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่พวกรักความสงบสุข” ทั้งนี้ บอนดาเรฟระบุว่า ตน “ไม่เคยอับอายกับประเทศตัวเอง” เท่านี้มาก่อน นับตั้งแต่ก่อนการรุกรานยูเครนของรัสเซียในวันที่ 24 ก.พ.

ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า บอนดาเรฟเป็นนักการทูตของรัสเซียคนแรก ที่ลาออกจากการทำภารกิจทางการทูตของรัสเซียหลังสงครามยูเครนเกิดขึ้นหรือไม่ แม้จะไม่มีใครออกมาประกาศว่าตนเองได้ลาออกจากการเป็นนักการทูตต่อสาธารณะก็ตาม ทั้งนี้ บอนดาเรฟกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการที่ทางการรัสเซียจะมองว่าตนเป็นกบฏ ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ “ทำอะไรผิดกฎหมาย” ก็ตาม “ผมเพิ่งลาออกและพูดความคิดของผมออกมา แต่ผมคิดว่าผมย่อมกังวลต่อความปลอดภัยของผมแน่นอน”


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-europe-61555390