ไม่พบผลการค้นหา
‘ชุบ นกแก้ว’ ช่างภาพและนักรีทัชระดับโลก เจอประเด็นดราม่าหลังเลือกหยิบภาพยักษ์มารีทัชสวมหน้ากากอนามัยป้องกันฝุ่น จนกระทั่งเจอตำรวจเรียกเข้าพบ

กลายเป็นวันที่ยุ่งยากไม่เบาของ ‘ชุบ นกแก้ว’ ช่างภาพและนักรีทัชระดับเซียน ผู้กวาดรางวัลด้านงานโฆษณาระดับโลกมาแล้วนักต่อนัก เมื่อผลงานสะท้อนสังคมไทยที่กำลังเผชิญปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก “PM 2.5” เขย่าอารมณ์อ่อนไหวของใครหลายคน จนถึงขั้นมีคนเอาไปฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

“ผมนั่งดูข่าวสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 แล้วพบว่ารุนแรงมาก จนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไปเดินถ่ายรูปเล่นแถวสนามหลวง แล้วดันเห็นว่าผู้คนไม่ใช้ผ้าปิดปากกันเลย ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันแล้วว่ามันอันตรายมาก หมอก็พูด นักวิชาการก็พูด แล้วทำไมคนไม่รู้สึก”  

หลังเกิดความสงสัยและตั้งคำถามกับการไม่ดูแลตัวเองของผู้คน ช่างภาพหนุ่มได้พบกับหุ่นปูนยักษ์ที่วัดโพธิ์ จนเกิดไอเดียชื่อก้อง

“ผมเห็นแล้วคิดได้ว่า เราใช้ยักษ์ดีกว่า ในทำนองว่าเป็นสัญลักษณ์ของเทพ ตั้งใจสื่อว่าขนาดยักษ์ที่ยืนอยู่เป็นร้อยๆ ปียังต้องใช้หน้ากากเลย แล้วทำไมคนธรรมดาอย่างเราถึงไม่ใช้ ไม่ดูแลตัวเองกัน ไม่หาหน้ากากมาใช้กันล่ะ” 

ชุบ เก็บภาพยักษ์จากวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ และวัดอรุณ ก่อนซื้อหน้ากากอนามัยแบบต่างๆ มาเริ่มถ่ายทำ รีทัชและตกแต่ง ก่อนเผยแพร่จนได้รับความนิยมในวงกว้างในเวลาไม่นาน มีผู้กดไลค์มากถึง 1.6 หมื่น แชร์ต่ออีกว่า 2 หมื่นครั้ง ขณะที่คอมเมนต์นั้นหลากหลาย จำนวนมากชื่นชอบ เห็นว่าสะท้อนปัญหาออกมาได้ดี อย่างไรก็ตามมีบางส่วนมองว่าส่งผลลบต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

“ผมนำเสนอฝุ่นให้ชัดมากขึ้น เพื่อบอกว่าปริมาณมันอยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพแล้วจากตัวเลขทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฎตามสื่อ เพียงแต่ตาเรามองไม่เห็นเท่านั้น” เขาบอกและยืนยันเจตนาว่า 

“ต้องการให้คนตระหนัก มาดูแลตัวเองกันเถอะ แทนที่จะรอหน่วยงานรัฐอย่างเดียว แต่สิ่งที่บางคนคิดคือ เราไปเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่เจตนาเราไม่ใช่ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เขาก็ต้องรู้เจตนาเราและคงไม่เอาผิดเราหรอก” 


ชุบ นกแก้ว

ราว 24 ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ผลงานออกไป ช่างภาพหนุ่มได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เข้าไปชี้แจงการกระทำ เนื่องจากมีผู้สบายใจร้องเรียนเข้ามา ในทำนองว่าภาพชุดดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วัดคู่บ้านคู่เมือง และประเทศ

“ไม่คิดว่าจะมีคนไม่สบายใจและกลายเป็นประเด็นขนาดนี้ มีคนเข้าใจว่าเราเอาหน้ากากไปแปะจริง จนผมตัดสินใจประกาศว่าให้ทุกคนหยุดแชร์ก่อน” 

เจ้าของรางวัล Cannes Lions เวทีใหญ่สำหรับคนโฆษณา เห็นว่า ความอ่อนไหวจนเกินเหตุปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์จนส่งผลลบต่อวงการศิลปะ 

“ผมเข้าใจศรัทธาของผู้คนบางกลุ่มที่อาจจะอ่อนไหวกับเรื่องนี้ แต่ผมอยากให้มองที่เจตนา การปิดกั้นและอ่อนไหวเกินไป โดยไม่มองเจตนาหรือพยายามทำความเข้าใจ ส่งผลให้การเติบโตหรือความคิดสร้างสรรค์ในวงการศิลปะถูกบีบ จนไม่มีใครกล้าคิดงานที่แตกต่าง เพราะวัฒนธรรมและข้อจำกัดทางด้านทัศนคติ” 

เขาทิ้งท้ายว่า “ถ้าจิตใจบริสุทธิ์ผมว่างานนี้เราโคตรน่ารักเลย มันแค่ทำหน้าที่ส่งข้อความให้คนรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ถ้าจ้องจับผิดอย่างเดียวก็มองไปประเด็นอื่นและกลายเป็นปัญหา”

ทั้งนี้หลังจากได้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ทำความเข้าใจกับ เลขานุการกองงานเจ้าอาวาส วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี 

"เราบอกเจตนาของเรา อธิบายวิธีการทำงาน ที่มาที่ไป เราไม่ได้ปีนไปลบหลู่ มันเป็นแค่ภาพรีทัช อีกฝ่ายก็เข้าใจและให้ขอให้เราโพสต์อธิบายขั้นตอนการทำงานให้สังคมได้รับทราบ" ชุบเล่า


ชุบ นกแก้วชุบ นกแก้ว

ภาพจาก Chub Nokkaew 

วรรณโชค ไชยสะอาด
ผู้สื่อข่าวสังคม Voice Online
118Article
0Video
0Blog