ไม่พบผลการค้นหา
เมื่ออนาคตเป็นเรื่องของปัจจุบัน และชีวิตประชาชนตกอยู่ในมือ 'ผู้บริหาร' อะไรคือสิ่งที่รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีสรุปได้จากการอ่านของเขา

'ชัชชาติ สิทธิพันธุ์' ในอีกมุมที่ปลีกตัวจาก '(อดีต)รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี' และผู้สมัครชิงตำแหน่งเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คือบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากสารพัดหนังสือที่เขาอ่านได้อย่างเป็นรูปธรรมทีเดียว 

ล่าสุดผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. หยิบหนังสือ 9 เล่ม มายำรวมกันแล้วสรุปออกมาเป็นหัวข้อ 'Future of People' หรือ อนาคตของผู้คน 

เพื่อไทย - ชัชชาติ
  • 'ชัชชาติ สิทธิพันธุ์' ในการบรรยายหัวข้อ Future of People

'3 วินาทีสุดท้ายก่อนเที่ยงคืน'

ท่ามกลางความประหม่าต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง คนจำนวนไม่น้อยมองไม่ออกว่าชีวิตของมนุษย์จะเปลี่ยนไปสักแค่ไหน อย่างไรก็ดี ในมุมมองของชัชชาตินั้น 'มนุษย์' ในฐานะปัจเจกอาจไม่ได้เผชิญหน้ากับวิวัฒนาการของสายพันธุ์ตัวเองอย่างที่จินตภาพเลือกพาไป 

โลกใบนี้ตั้งอยู่มาแล้วกว่า 4,600 ล้านปี ขณะที่สายพันธุ์มนุษย์ยุคใหม่ ใต้สปีชีส์ Homo Sapiens (ภาษาละตินแปลว่า "คนฉลาด" หรือ "ผู้มีปัญญา") เพิ่งเริ่มก่อร่างสร้างเผ่าพันธุ์มาเพียง 200,000 ปีเท่านั้น 

สรุปง่ายๆ ว่า สัตว์โลกที่ชื่อว่า 'คน' มีอายุเพียง 23 นาที ก่อนเที่ยงคืนเท่านั้น เมื่อเทียบกับ 'โลก' ซึ่งตลอดห้วงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี้ ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนไป และโลกยังคงความยิ่งใหญ่ไว้

ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (โดยอับราฮัม มาสโลว์) ที่เริ่มเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2486 หรือเกือบ 80 ปีที่แล้ว ยังสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันของผู้คน ลำดับขั้นที่เริ่มจากความต้องการทางกายภาพ ไปสู่ความมั่นคงปลอดภัย ก่อนขยับไปที่ความรักและการเป็นเจ้าของ และปีนต่อไปสู่การเคารพนับถือ และความสมบูรณ์ของชีวิตไม่ได้หายไปไหน 

ทว่าสิ่งสำคัญที่มีแทรกแซงเอาจนชีวิตผู้คนสับสนอลหม่าน คือ '3 วินาทีสุดท้ายก่อนเที่ยงคืน' หรือวิวัฒนการของเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา 

หากย้อนกลับไปมองการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกของโลกช่วงศตวรรษที่ 18 และ 19 เรื่อยมาจนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ด้วยการหันมาใช้เทคโนโลยี ชัชชาติ ชี้ว่า ในช่วง 100 ปีแรกของการมีโทรศัพท์ ทุกอย่างไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากมายนัก แต่แล้วอยู่ดีๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด จนโทรศัพท์ที่เคยเป็นตัวกลางเชื่อมต่อผู้คนที่อยู่ห่างกัน กลายเป็น 'ทุกสิ่งทุกอย่าง' ที่โลกนี้จะรองรับไหว 

กฎของมัวร์ (Moore's law) คือคำอธิบายเบื้องหลังวิวัฒนาการที่รวดเร็วราวกับเวทมนต์ โดยอดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทลอย่าง 'กอร์ดอน มัวร์' เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในปี 2508 ว่า จำนวนของส่วนประกอบในวงจรรวมจะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกๆ ปี ซึ่งภายหลังข้อสังเกตดังกล่าว ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และถูกยกขึ้นมา 'กฎ' โดยปริยาย 

การเพิ่มขึ้นของส่วนประกอบในวงจรรวมอธิบายง่ายๆ ว่าหมายถึงการปรับตัวดีขึ้นของประสิทธิภาพการประมวลผล แม้การเพิ่มขึ้นทีละเท่าตัวในช่วงแรกอาจดูไม่มากมายอะไรนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป 'ศักยภาพ' ที่ถูกทบต้นทบดอกขึ้นไปทุกปีจะทะลุจุดเติบโตแบบเรื่อยๆ เข้าสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด จึงเป็นการตอบว่าเหตุใดอยู่ๆ เทคโนโลยีจึงก้าวกระโดดจนทิ้งมนุษย์ไว้ข้างหลังถึงเพียงนี้ 

เพราะ 3 วินาทีสุดท้ายก่อนเที่ยงคืนไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์สามารถหันหลังให้ได้อีกต่อไป และกฎของมัวร์สะท้อนชัดแล้วว่าอนาคตที่พุ่งทะยานอย่างรวดเร็วไม่ได้อยู่ๆ เกิดขึ้น แต่เป็นการรวมมวลสารอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อรอวันปะทุและเติบโตแบบทะลุทะลวง

สิ่งนี้จึงเรื่องสำคัญที่ชัชชาติย้ำว่า 'ผู้คน' ต้องมองให้เห็น มองให้เห็นอนาคตที่กำลังเกิดขึ้นใต้จมูกของพวกเราในปัจจุบัน - แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นหน้าที่หลักของผู้บริหารประเทศ 

ชัชชาติกับรถไฟ

เมื่อกลับมาสู่จุดเริ่มต้นว่า 'อนาคตของผู้คน' จะเป็นเช่นไร จึงต้องตอบคำถาม โดยตั้งธงว่า 'อนาคตของผู้คนท่ามกลางเทคโนโลยี' จะเป็นเช่นไร

ชัชชาติ สรุปคำตอบของตัวเองไว้ว่า เพื่อการอยู่รอดในภายภาคหน้า 'แรงงาน' จำเป็นต้องมีทักษะ 2 อย่าง ได้แก่ 1.ทักษะเฉพาะทางเทคนิค และ 2.ทักษะความเป็นมนุษย์ 

เขาขยายความว่า ในภาวะปัจจุบันที่เทคโนโลยีผลักดันให้ปัญญาประดิษฐ์มีความรู้มากเสียจนมนุษย์พ่ายแพ้แล้ว เช่น กรณีที่ 'อัลฟาโกะ' (AlphaGo) ของกูเกิล เอาชนะ 'อี เซดอล' มนุษย์ผู้เป็นแชมป์เกมนี้ ได้อย่างง่ายดาย เมื่อว่ากันด้วยเรื่องของเทคนิค เทคโนโลยีอยู่ในจุดที่คนก้าวไม่ทันแล้ว 

อย่างไรก็ดี ณ วันที่ 'อี เซดอล' ถูกโค่นบัลลังก์ด้วยหุ่นยนต์และร้องไห้ออกมา นั่นคือจุดที่ตอกย้ำมนุษย์ด้วยกันอย่างชัดเจนว่า ต่อให้อัลฟาโกะเก่งกาจเพียงใด มันก็ไม่มีความรู้สึก ไม่ยินดีที่ชนะหรือยินร้ายที่พ่ายแพ้ อารมณ์คือสิ่งที่หุ่นยนต์ไม่มี 

เมื่อมองเห็นข้อด้อยและข้อดีของตัวเองแล้ว มนุษย์จึงเพียงต้องหาสมดุลระหว่างทั้งสอง คือเลือกใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและขัดเกลาความเป็นมนุษย์ของตนเอง 


10 หลักการแห่งอนาคต 

ชัชชาติ ย่อยหนังสือที่เขาอ่านประเด็นหลักการสำคัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเริ่มจากประการแรกว่า ต่อไป 'คนตัวเล็ก' ต่างหากที่จะเป็นผู้ชนะ 'คนตัวเล็ก' ต่างหากที่จะล้มยักษ์

องค์กรที่มีระบบระเบียบแบบแผนมากเกินไปอย่างไม่จำเป็น ไม่เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปรับตัว ขณะที่โลกเปลี่ยนไปกันแทบทุกวินาที

ประการที่สอง สรรพสิ่งจะเป็นในรูปแบบของการ pull (ดึง) มากกว่า push (ผลัก) ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือข้อแตกต่างระหว่าง สตรีมมิงแพลตฟอร์มและโรงภาพยนตร์บริษัทอย่าง Netflix เอากลยุทธ์การดึงความสนใจของผู้บริโภคเข้ามาเล่น เปิดแพลตฟอร์มที่เอื้อให้ผู้บริโภคจะดูเมื่อไหร่ก็ได้และดูสิ่งใดก็ได้ ขณะที่โรงภาพยนตร์เลือกจะ 'push' ว่า ฉันมีหนังเรื่องนี้นะ ฉายเวลาเท่านี้ถึงเท่านี้ 

มหาวิทยาลัยเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีของการ 'push' เนื้อหาให้นักศึกษา คือจัดวางไว้ให้หมดแล้วว่ามีข้อมูลใดบ้างที่ผู้มาเรียนควรรู้ ขณะที่อนาคตการเรียนรู้ต้องเป็นแบบ 'pull' คือผู้เรียนเลือกได้เองว่าต้องการรู้สิ่งใดแล้วจึงดึงข้อมูลมา

เมื่อว่าต่อถึงหลักการที่จะส่งผลต่ออนาคต 'แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี' ของไทยถูกหยิบมาใช้เป็นตัวอย่างประจักษ์ว่า 'ไม่เข้าท่า' เพราะโลกไม่ต้องการ 'แผนที่' อีกต่อไป สิ่งที่โลกต้องการคือ 'เข็มทิศ' ที่จะคอยแนะว่าการเดินไปสู่เป้าหมายควรไปทางใดแบบหลวมๆ ส่วนเมื่อเจอทางแยกค่อยไปแก้ปัญหากันตอนนั้นเมื่อถึงเวลา 

ทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แผนที่อันลงรายละเอียดเยอะเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่เป็นกับดักที่ทำให้ชาติไปไหนไม่ได้ต่างหาก "เราต้องการเข็มทิศ ปรัชญา คุณค่า" ชัชชาติ กล่าว 

แน่นอนว่าอนาคตเรียกร้องให้ผู้คนยอมรับความเสี่ยงมากกว่าที่เป็นอยู่ ประการหนึ่งที่เป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะต้นทุนความเสี่ยงเหล่านี้น้อยลงมากแล้วเมื่อเทียบกับอดีต และการไม่ยอมเสี่ยงเลยอาจเป็นเรื่อง 'เสี่ยง' มากกว่าด้วยซ้ำ

ในช่วงหลังๆ ของหลัก 10 ข้อที่กำหนดทิศทางโลกประกอบไปด้วย การแหกกฎมากกว่าทำตามกฎเพื่อสร้างสิ่งใหม่ การฝึกฝนมากกว่าทฤษฎี ความหลากหลายของผู้คนมากกว่าความสามารถเฉพาะตัว ศักยภาพในการล้มแล้วลุกให้เร็วมากกว่าความเข้มแข็งที่จะไม่ยอมล้มเลย ระบบที่ดีมากกว่าตัวสินค้าหรือบริการที่ขาย

ท้ายสุด ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ชัชชาติ ย้ำว่า ผู้คนต้องมีศักยภาพในการ 'เรียนรู้' (learning) แบบตลอดชีวิต เพราะการศึกษาที่ถูกปลูกฝังแบบนั่งเรียนและมีคนอื่นมาสอน (education) ไม่เพียงพออีกต่อไป 


อย่าเริ่มจากอยากเปลี่ยน 'โลก'
เอาแค่ตัวเองพอ 

เมื่อรู้ว่าเงื่อนไขของอนาคตจะเป็นเช่นไรจากมิติมนุษย์และเทคโนโลยี รวมไปถึงหลักพื้นฐานคร่าวๆ กับสิ่งที่น่าจะเป็นหรือกำลังเป็นอยู่ใต้จมูกของทุกคน สิ่งสำคัญที่สุดคือแล้วมนุษย์จะทำเช่นไรเพื่อให้รู้เท่าทันตัวเอง

ชัชชาติแบ่งมิติการเปลี่ยนตัวเองก่อนอย่าเพิ่งเปลี่ยนโลกเอาไว้ หลักๆ ดังนี้

ตามปกตินั้น สมองมนุษย์มี 2 ระบบที่ใช้เพื่อการตัดสินใจกระทำการใดๆ คือ ระบบที่คิดเร็ว ซึ่งมีความเสี่ยงผิดพลาดสูง และ ระบบที่คิดช้า แต่ก็มีความขี้เกียจทำงานสูง 

เมื่อมนุษย์เจอเข้ากับเรื่องที่ท้าทายความเชื่อเดิมๆ ระบบความคิดช้าแต่อาศัยการวิเคราะห์คำนวณอย่างถี่ถ้วนจะต้องถูกบังคับให้ทำงาน ทว่าอย่างที่กล่าวไป ระบบนี้ขี้เกียจ มันจึงหาทางออกผ่านสิ่งที่เรียกว่า 'confirmation bias' หรืออธิบายง่ายๆ ว่าเราจะเลือกเสพข้อมูลที่ยืนยันสิ่งที่เราเชื่อแต่เดิมอยู่แล้ว 

เท่านั้นยังไม่พอ สมองในส่วนขี้เกียจของเรายังมีอีกกลยุทธ์สำคัญคือ 'substitution bias' หรือการเปลี่ยนจากคำถามที่ยากมาเป็นคำถามที่ง่ายแทน โดยเชื่อว่าทั้ง 2 คำถามมีศักดิ์เท่ากัน 

ชัชชาติ-ดอกกุหลาบ

การจะตอบคำถามว่าประเทศไทยควรมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงหรือไม่ เรียกร้องให้สมองใช้ระบบการคิดที่ช้า เพราะต้องวิเคราะห์และคำนวณต้นทุนต่างๆ แต่เพราะสมองส่วนนั้นขี้เกียจ หากชัชชาติเป็นคนเสนอนโยบายนั้น ก็เปลี่ยนเป็นคำถามว่า "คุณเชื่อชัชชาติไหม" ซึ่งไม่ว่าจะตอบว่า "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" แท้จริงแล้วคำตอบนี้ไม่เท่ากับ "ควรมี" หรือ "ไม่ควรมี"

สมองมนุษย์ซึ่งกินพลังงานกว่า 20-25% ของพลังงานทั้งหมดในร่างกาย ยังเลือกใช้การตัดสินใจผ่านประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ทว่าเพราะผู้คนไม่ได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวหนึ่งเรื่องในหลากหลายมิติมากพอ การด่วนตัดสินใจจากประสบการณ์ในอดีตจึงอาจเป็นการเลือกทางที่ผิดและเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น 

ท้ายที่สุด เพื่อเปลี่ยนตัวเองก่อนเปลี่ยนโลก ชัชชาติ หยิบยก 'dunning kruger effect' หรือ ปรากฏการณ์ที่อธิบายว่าเหตุใดคนรู้น้อยชอบคิดว่าตัวเองรู้มาก ส่วนคนรู้ว่าตัวเองรู้น้อยจะเข้าสู่ภาวะจิตตกแทน 

การจะพัฒนาตัวเองเพื่อสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต เรียกร้องให้คนนั้นๆ ต้องกลับมาประเมินตัวเองแทบตลอดเวลา ว่าพวกเขาเชี่ยวชาญสิ่งใด และที่สำคัญกว่าคือ สิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญเหล่านั้นยังเป็นที่ต้องการของโลกหรือไม่ 

การทบทวนตัวเองต้องผ่าน 'ภูเขาแห่งความโง่' หรือภาวะที่ถูกบดบังจนคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว เมื่อก้าวข้ามสิ่งนี้ไปได้ คนๆ นั้นจึงจะได้ 'เบิกเนตร' อย่างแท้จริงว่ามีสรรพสิ่งอีกมาที่พวกเขายังไม่รู้ การรับรู้ว่าตนเองไม่รู้อะไรเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะพัฒนาศักยภาพขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ระหว่างทางจะจิตตกเสียหน่อยก็ตาม 

การยำรวมหนังสือ 9 เล่ม รวมไปถึงคำพูดของผู้ประสบความสำเร็จจากการประมวลผลของชัชชาติจบลงที่ การเปลี่ยนอนาคตเริ่มที่ตัวเอง และเริ่มที่ตอนนี้ เพราะอนาคตที่คนมองว่าเป็นอนาคตอันห่างไกลออกไป แท้จริงแล้วกำลังก่อร่างสร้างตัว ณ ปัจจุบันขณะ

หมายเหตุ : หนังสือทั้ง 9 เล่ม 

1. 21 lessons for the 21st century, ยูวัล โนอาห์ แฮรารี

2. AI SUPERPOWERS: CHINA, SILICON VALLEY, AND THE NEW WORLD ORDER, ไค-ฟู ลี

3. Whiplash, จอย อิโต และเจฟฟ์ โฮว์

4. The Future of Almost Everything, แพทริก ดิกสัน 

5. Thinking, Fast and Slow, แดเนียล คาฮ์นะมัน

6. Originals: How Non-Conformists Move the World, อดัม แกรนต์

7. Think Again: The Power of Knowing What You Don't Know, อดัม แกรนต์ 

8. Grit: The Power of Passion and Perseverance, แองเจลา ดักเวิร์ธ

9. Mindset: The New Psychology of Success, แครอล ดเว็ค