เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา แถลงข่าวการมอบสถานะผู้ลี้ภัยให้กับ ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด อัลกุนุน หญิงสาวชาวซาอุดีอาระเบีย ที่หลบหนีจากครอบครัวหลังถูกขังอยู่ในห้องนานถึง 6 เดือน และถูกพี่ชายทำร้ายร่างกาย หลังตัดผมและเลิกนับถือศาสนาอิสลาม เพื่อจะไปยังประเทศออสเตรเลีย แต่ถูกกักตัวเมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา
นายทรูโดให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ (UNHCR)ยื่นคำขอให้แคนารับมอบสถานะผู้ลี้ภัยแก่ราฮาฟ
"แคนาดาเป็นประเทศที่เข้าใจความสำคัญของการยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชน การยืนหยัดเพื่อสทิธิสตรีทั่วโลก และผมยืนยันว่าเราได้ตอบรับคำขอจากยูเอ็น" ทรูโด กล่าว
พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กล่าวว่า ราฮาฟได้เดินทางโดยเครื่องบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ (11 มกราคม) เวลา 23.37 นาฬิกา ที่ผ่านมาโดยสายการบินโคเรียนแอร์ และจะไปหยุดพักเครื่องที่โซล ประเทศเกาหลี ก่อนเดินทางต่อไปยังเมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา
ทวิตเตอร์ช่วยชีวิต
การขังตัวเองเป็นเวลา 48 ชั่วโมงภายในห้องของโรงแรมในสนามบินสุวรรณภูมิเรียกความสนใจจากทั้งโลกมายังประเทศไทยผ่านสื่อโซเชียลมีเดียหลักที่เธอใช้ในการเรียกร้องสิทธิ์ของเธอ อย่าง ทวิตเตอร์
โดยปกติแล้วไม่ใช่ผู้ยื่นขอลี้ภัยทุกคนจะได้รับการตอบรับจากประเทศปลายทางอย่างรวดเร็ว ในบางรายอาจต้องรอกว่าเก้าเดือนถึงหลายปีกว่าจะได้รับคำตอบว่าจะได้สถานะผู้ลี้ภัยหรือไม่
"การปกป้องผู้ลี้ภัยทุกวันนี้มักตกอยู่ภายใต้การข่มขู่และไม่สามารถมั่นใจอะไรได้ แต่ในกรณีนี้ กฏหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศและการยึดมั่นในคุณค่าของมนุษย์เป็นฝ่ายชนะ" ฟิลลิปโป คานธี เจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ระดับสูงกล่าว
จากกรณีนี้ คงกล่าวได้ว่าการตัดสินใจใช้ทวิตเตอร์ในการถ่ายทอดเรื่องราวของตนเอง ที่ราฮาฟทำระหว่างขังตัวเองไว้ภายในห้องพักในโรงแรมที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด เพราะแฮชแท็ก #SaveRahaf ได้ช่วยให้ความหวังที่จะย้ายไปยังประเทศแคนาดาเป็นจริง