ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ในฐานะคนทำงานในเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) แถลงข่าวกิจกรรม Car Mob 19 กันยา ขับรถยนต์ชนรถถัง (แยกอโศก - อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย) ว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่รำลึกการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่ต้องการที่จะเน้นย้ำให้เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องกันของการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และการสืบทอดอำนาจโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาในปัจจุบัน ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเกิดขึ้นจากขบวนการอำนาจนอกระบบที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและความพยายามตีกรอบอำนาจอธิปไตยของประชาชนให้เป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจต้องการ
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า การที่จะรำลึกเหตุการณ์ดังกล่าวจึงหมายถึงการแสดงการไม่ยอมรับ ต่อต้าน และขับไล่อำนาจรัฐในปัจจุบัน ซึ่งการรัฐประหารเป็นการทำซ้ำซากแบบเดียวกันทั้งกันยายน 2549 และพฤษภาคม 2557 โดยสังคมไทยตกอยู่ใต้ความอัปยศนี้มานาน 15 ปี ดังนั้น การออกมาร่วมขบวน Car Mob ในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงการแสดงพลังเพื่อต่อต้านรัฐประหารเท่านั้น แต่เป็นการแสดงให้ประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตลอด 15 ปี ได้รับทราบว่า ยังมีฝ่ายประชาธิปไตยที่ยังคงสู้อยู่ และยังคงมุ่งมั่นที่จะนำพาประเทศกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นความยากลำบากและเต็มไปด้วยอุปสรรคอันตราย
ทั้งนี้ อยากฝากถึงฝ่ายผู้มีอำนาจว่า นัยยะของกิจกรรมนี้ตรงไปตรงมา ว่าไม่ยอมรับและพร้อมขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่ได้ต้องการประกาศการเป็นศัตรูกับรัฐไทย ไม่ได้ประกาศถึงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานใด ดังนั้น หวังใจว่าจะได้รับความร่วมมือ อำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยงานเป็นอย่างดี
สำหรับเส้นทาง Car Mob ในวันที่ 19 กันยายนนี้ เวลา 14.00 น. พร้อมกันที่แยกอโศก และเริ่มเคลื่อนขบวน 15.00 น. โดยจะมุ่งหน้าถนนพระราม 4 เลี้ยวขวาแยกคลองเตย เลี้ยวซ้ายเข้าสาทรเหนือ และเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นนราธิวาส และวิ่งตรงเข้าถนนพระราม 3 ข้ามสะพานกรุงเทพฯ และวิ่งตรงถนนรัชดาภิเษกเข้าเส้นจรัญสนิทวงศ์ และเลี้ยวกลับมาขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้า เข้าถนนราชดำเนิน ถึงจุดหมายปลายทางที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ภายในขบวนจะมีธงสัญลักษณ์"#ไล่ประยุทธ์" และจะมีทั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์และรถแท็กซี่ เข้าร่วมขบวนในครั้งนี้ โดยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจะมีกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ให้ทั้งโลกได้เห็นว่าประเทศไทยถูกคลุมถุงดำมาแล้ว 15 ปี และมีกิจกรรมขับรถยนต์ชนรถถังด้วย คาดว่ากิจกรรมจะแล้วเสร็จไม่เกิน 18.00 น. ยืนยันจะไม่มีการออกนอกเส้นทางและกิจกรรมอื่นนอกเหนือกิจกรรมที่ได้แถลงไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมากทั้งคนที่ร่วมขบวนและคนที่อยู่ทั้งสองข้างทาง
ณัฐวุฒิ กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมที่แยกดินแดงที่ยังคงมีความรุนแรงอยู่ ว่า ขณะนี้มีสัญญาณบางอย่างว่าผู้มีอำนาจ ต้องการใช้กำลังกับผู้ชุมนุม จึงอยากส่งเสียงไปถึงรัฐบาลว่าอย่าได้ทำเช่นนี้ การสูญเสียของเยาวชนหรือประชาชนไม่ใช่ทางออกและไม่สามารถทำให้สังคมไทยออกจากความขัดแย้งได้ อย่างไรก็ดี ขอให้ผู้ชุมนุมประเมินสถานการณ์อย่างละเอียด คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองและคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ตนไม่สามารถชี้นำการเคลื่อนไหวที่แยกดินแดงได้ เพราะมองว่าพื้นที่นั้นเป็นการเคลื่อนไหวเฉพาะของผู้จัดการชุมนุมที่นั่น
ณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีที่เยาวชนอายุ 15 ปี ถูกยิงด้วยกระสุนจริง บริเวณหน้าสน.ดินแดง จนบาดเจ็บสาหัส และขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วยอาการขั้นวิกฤตว่า ตอนนี้เวลาล่วงเลยมา 1 เดือนแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าทางคดีใดๆ นอกจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกกับแม่ของเยาวชนคนดีงกล่าวว่ากำลังดำเนินการอยู่ ตนจึงอยากฝากถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้มีอำนาจในรัฐบาลให้เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผู้เสียหาย
ณัฐวุฒิ ตั้งข้อสังเกตว่า การที่กระบวนการสืบสวนสอบสวนทำโดยสน.ดินแดงเอง ทั้งที่กระแสข่าวปรากฏว่า ผู้ก่อเหตุมีความเกี่ยวข้องกับคนใน สน.นั้น ยิ่งชวนให้สังคมตั้งคำถามถึงความตรงไปตรงมา และความโปร่งใสของคดี ซึ่งตนยืนยันว่า ไม่ได้ปรามาส หรือด้อยค่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่เพื่อความสบายใจของครอบครัวผู้เสียหาย ควรโอนคดีนี้ให้หน่วยงานอื่น อย่างกองปราบมารับผิดชอบจะดีกว่าหรือไม่ ถือว่าเป็นเรื่องการเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งที่จับต้องได้