ไม่พบผลการค้นหา
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ 'ตรวจหาเชื้อแบบถ้วนหน้า' คือวิธีเลี่ยงการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 มีต้นทุนไม่สูงและคุ้มค่ากับการป้องกันหายนะจากการระบาดใหม่ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

การศึกษามากมายบ่งชี้ว่า การตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบบเชิงรุกด้วยวิธีการตรวจหาเชื้อแบบถ้วนหน้า หรือ 'Universal Testing' คือหนึ่งในวิธีที่จะสามารถยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ได้ผลดีไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตรวจหาเชื้อนั้นครอบคลุมมากถึง 20-30% ของจำนวนประชากรในแต่ละวัน ผลลัพธ์ที่ได้จะยิ่งมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายคนอาจเรียกวิธีนี้ว่า 'การตรวจหาเชื้อแบบปูพรม'

เว็บไซต์ weforum.org ระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญมากมายชี้ว่าประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการตรวจหาเชื้อแบบ Universal Testing นั้นคุ้มค่ากับการลงทุนที่ภาครัฐต้องจ่าย โดยตัวอย่างของผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาย้ำในกรณีนี้ได้แก่ พอล โรเมอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ไมเคิล มินา นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ไปจนถึงการศึกษาจากศูนย์วิจัย Safra Center for Ethics ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

โควิด-19 ผู้ป่วย โรงพยาบาล.jpg


Universal Testing ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง

รายงานจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การตรวจแบบถ้วนหน้าและนโยบายการแยกตัวผู้ป่วย หรือ Universal Testing and Isolation Policy (TIP) คือวิธีที่จะทำให้ชีวิตของผู้คนและเศรษฐกิจของทั้งโลกสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ อีกทั้งยังเป็นวิธีที่จะสามารถระบุได้อย่างชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆว่ากำลังเกิดการระบาดใหม่ในพื้นที่ใด และมีกลุ่มคนใดบ้างที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากการตรวจซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง จะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ตลอดเวลา

ข้อมูลจาก IMF ระบุเพิ่มเติมว่า Universal Testing มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 3% ของเงินสนับสนุนรายปีจากสหรัฐฯ ที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 89.5 ล้านล้านบาทในปี 2563 (ในกรณีนี้เทียบเคียงจากราคาค่าใช้จ่าย 150 บาทต่อการตรวจหนึ่งครั้ง ของประชากร 15% ในประเทศ) และเป็นค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า 1% ของการสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาซึ่งคิดเป็นการสูญเสียไปแล้วอย่างน้อย 16 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 477 ล้านล้านบาท


อุปสรรคของการผลักดัน Universal Testing ยังมีอีกมาก

แม้การตรวจหาเชื้อแบบถ้วนหน้าจะฟังดูเป็นแนวทางที่น่าลงมือทำ แต่จนถึงตอนนี้เรายังมองไม่เห็น ฉันทามติ ระหว่างผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเดินหน้าใช้วิธี Universal Testing ต้องฝ่าด่านผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้มากมายจากทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นทางการแพทย์ เภสัชศาสตร์ สาธารณสุข อุตสาหกรรมการผลิต มุมมองด้านการระบาดวิทยา ไปจนถึงความยากลำบากทางเศรษฐศาสตร์ 

วัคซีน โควิด-19.jpg

หนึ่งในข้อโต้แย้งที่สำคัญในการใช้วิธีการตรวจหาเชื้อแบบถ้วนหน้าก็คือ ความเป็นไปได้ที่วิธีนี้จะเป็นการลงทุนที่ไม่ได้ผล เพราะเหตุผลมากมาย เช่น ผลตรวจหาเชื้อที่เป็นบวกหรือลบที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงเพราะเกิดการคลาดเคลื่อน ผู้คนไม่ยอมกักตัวหลังถูกพบว่ามีเชื้อ การไม่สามารถผลิตชุดตรวจได้เพียงพอ ขั้นตอนการขออนุญาตในการผลิตและแจกจ่ายอุปกรณ์การตรวจ การแบกรับค่าใช้จ่ายในการผลิตอุปกรณ์และการแจกจ่ายไปยังพื้นที่ต่างๆ เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าหากมองในมุมเศรษฐศาสตร์แล้ว การใช้มาตรการตรวจหาเชื้อแบบถ้วนหน้าด้วยความถี่ที่สูงและครอบคลุมจำนวนประชากรที่มากพอในแต่ละวัน และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ผลสำเร็จของมาตรการนี้จะมีเพียง 1% ก็ถือว่าคุ้มค่าอย่างมากที่จะลงมือทำ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับงบประมาณและความสูญเสียที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเฝ้ารอ วัคซีนโควิด-19 ยิ่งสมควรจะเร่งดำเนินการ เพราะแม้จะมีวัคซีนขึ้นมาแล้วก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าการเปลี่ยนแปลงและกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสจะสามาถจัดการได้ด้วยวัคซีนที่อาจจะล้าสมัยเมื่อใดก็ได้ การตรวจหาเชื้อและเร่งรักษาจึงเป็นอีกตัวเลือกที่ควรเร่งมือทำ