เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้การจัดเก็บรายได้ของกรมเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยในเดือน ม.ค. 2562 เป็นเดือนแรกที่กรมสามารถเก็บภาษีเกินกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณร้อยละ 0.14 หรือ 78 ล้านบาท เป็นผลจากสินค้าในกลุ่ม สุรา ยาสูบ เบียร์ เครื่องดื่ม รถยนต์ ขายดี ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากปีใหม่ และอาจเป็นเพราะใกล้เลือกตั้งทำให้คนหันมาใช้จ่ายสินค้าในกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น
นอกจากนี้ รถยนต์นั่งมียอดจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพราะมีการเปลี่ยนโมเดลรถรุ่นใหม่ คนเริ่มเชื่อมั่นในเศรษฐกิจจึงกล้าลงทุนซื้อรถยนต์ แม้ว่าขณะนี้การจัดไฟแนนซ์รถยนต์จะเข้มงวดขึ้นก็ตาม
โดย เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ยอดจัดเก็บภาษีในกลุ่มรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 14, สุราเพิ่มขึ้นร้อยละ 4, เบียร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 9, ยาสูบเพิ่มขึ้นร้อยละ 7, เครื่องดื่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 คาดว่ายอดการจัดเก็บภาษีในกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเดือน ก.พ. - มี.ค. เนื่องจากใกล้เทศกาลสงกรานต์และการเลือกตั้ง ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าในกลุ่มดังกล่าวไปบริโภคมากขึ้น ส่วนสินค้าที่เก็บภาษีลดลงคือ น้ำมัน ติดลบร้อยละ 2
นายพชร กล่าวต่อว่า สำหรับผลการจัดเก็บรายได้สะสม 4 เดือนแรกปีงบประมาณ 2562 คือในเดือน ต.ค. 2561- ม.ค. 2562 จัดเก็บได้ 1.8 แสนล้านบาท ยังต่ำกว่าเป้าหมายในเอกสารงบประมาณร้อยละ 5 หรือต่ำกว่า 11,000 ล้านบาท เป็นผลจากยอดจัดเก็บ 3 เดือนแรกต่ำกว่าเป้าหมายมาก แต่ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาพบว่าการจัดเก็บ รายได้ 4 เดือน สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.5 หรือ 14,000 ล้านบาท โดยในปีนี้กรมยึดเป้าหมายการจัดเก็บตามเอกสารงบประมาณ 6.22 แสนล้านบาท แทนยอดจัดเก็บซึ่งปรับลดลงของกระทรวงการคลัง 5.84 แสนล้านบาท เพื่อให้เกิดความท้าทายในการจัดเก็บ
โดยกระทรวงการคลังประเมินใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากการประเมินงบประมาณต้องทำล่วงหน้าไว้นานเป็นปี พอมาเก็บจริงสถานการณ์เปลี่ยน นอกจากนี้ ช่วงต้นปีงบประมาณ เป็นช่วงรอยต่อมีภาษีบางตัวเก็บไปล่วงหน้าในปีงบ 2561 จึงทำให้การจัดเก็บในปีงบ 2562 ในช่วงต้นปีจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม กรมยังยึดเป้าหมายในเอกสารงบประมาณไว้ เพื่อกระตุ้นการทำงานของกรม ส่วนปีงบ 2563 ได้รับเป้าหมายจัดเก็บ 6.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมในเอกสารงบประมาณปี 2562 กำหนดไว้ 6.22 แสนล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับเป้าหมายที่ปรับลดลงมาแล้วเหลือ 5.84 แสนล้านบาท ถือว่าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7-8 หรือเพิ่มขึ้น 4.2 หมื่นล้านบาท