รอยเตอร์รายงานว่า ชาวอเมริกันกว่า 52 ล้านคนได้ลงคะแนนเสียงล่วงหน้าในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ โดยตัวเลขดังกล่าวถึงเป็นการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้ามากสุดเป็นประวัติการณ์
ไมเคิล แมคโดนัลด์ เจ้าหน้าที่โครงการเลือกตั้งสหรัฐฯ จากมหาวิทยาลัยฟลอริด้า เผยว่า ในจำนวนชาวอเมริกันที่ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้านี้ กว่า 35 ล้านคน ลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ส่วนอีกกว่า 15 ล้านคน ลงคะแนนผ่านกล่องเลือกตั้ง ซึ่งยอดผู้ขอใช้สิทธิล่วงหน้าคิดเป็น 22% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งหมดในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากหลายคนต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดในหน่วยเลือกตั้งท่ามกลางสถานการ์โควิด-19
การลงคะแนนเสียงล่วงหน้าของชาวอเมริกันจำนวนมาก อาจเป็นการยากที่ประธานาธิบดีทรัมป์และพรรครีพับลิกกันจะใช้เวทีหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้าย เปลี่ยนใจกลุ่มผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่ยังลังเล เพื่อโกยคะแนน อย่างไรก็ดี โพลสำรวจทั่วประเทศและในแต่ละมลรัฐจากหลายสำนักชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนตามหลังโจ ไบเดน อยู่หลายจุด แต่มลรัฐที่ต้องจับตามองคือรัฐที่เป็น 'swing state' โดยเฉพาะรัฐฟลอริด้าซึ่งจะเป็นสมรภูมิสำคัญที่จะชี้ชะตาผู้ครองทำเนียบขาว
สำหรับรัฐฟลอริด้าเป็นรัฐที่มีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral College มากถึง 29 เสียง โดยจากการสำรวจคะแนนนิยมช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไบเดน มีคะแนนนำปธน.ทรัมป์อยู่เพียงเล็กน้อย ทั้งคู่จึงต้องขับเคี่ยวดึงคะแนนเสียงกันอย่างเข้มข้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง เพราะฟลอริด้า เป็นรัฐที่มีผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่เป็นคนสูงอายุมากที่สุด เนื่องจากชาวอเมริกันนิยมใช้ชีวิตหลังเกษียณจำนวนมาก
โจ ไบเดน หาเสียงกับกลุ่มคนสูงวัยซึ่งมีความเสี่ยงเสียชีวิตจากโควิด โดยโจมตีว่า ทรัมป์ไม่เคยห่วงใยผู้สูงอายุ และท้าทายอันตรายจากโควิด ด้านทรัมป์ก็หาเสียงกับผู้สูงวัยในฟลอริด้าด้วยการขายฝันวัคซีนป้องกันโควิดว่ากำลังคืบหน้าและจะสำเร็จในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังไม่อาจการันตีได้
ทั้งนี้ สำหรับการดีเบตครั้งสุดท้ายของทั้งสองซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า การดีเบตไม่ค่อยมีผลต่อการตัดสินใจของชาวอเมริกันมากนัก