คำถามชวนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิตปุถุชน เช่นเดียวกับเมื่อโลกต้องเผชิญวิกฤตโรคระบาดที่ไม่เพียงพรากชีวิตของคนจำนวนมาก แต่ยังริบเอาโอกาสของอีกหลายคนไปด้วย ผลกระทบของโควิด-19 แพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ทว่ากลับไม่เท่าเทียม
สมาพันธ์อิสระที่รวมตัวกันเพื่อบรรเทาทุกข์ของโลกอย่าง ‘ออกซ์แฟม’ เผยงานศึกษาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาใต้ชื่อ “ไวรัสที่ไม่เท่าเทียม” (the inequality virus) เพื่อสะท้อนว่า ขณะที่เหล่ามหาเศรษฐีแดนมนุษย์สูญเงินจำนวนมากกว่าชีวิตคนจนผู้หนึ่งจะเข้าใจ พวกเขากลับถอนทุนและพลิกมาได้กำไรคืนภายในระยะเวลาเพียง 9 เดือน
ในทางตรงกันข้าม กว่าเหล่าชนแร้นแค้นจะกลับไปมีชีวิตยากจนในระดับก่อนวิกฤตโรคระบาดต้องใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งทศวรรษ
มหาเศรษฐีแดนมนุษย์เหล่านี้มั่งคั่งร่ำรวยกันมากเพียงใด ตัวเลขเม็ดเงินในบัญชีหรือที่แปลงเป็นทรัพย์สินอื่นๆ อาจช่วยไขข้องใจได้
หากนับแค่เพียงผลต่างระหว่างสินทรัพย์ของผู้ที่ร่ำรวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลกใบนี้ ในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบัน เงินตรงนั้นสามารถป้องกันไม่ให้คนทั่วโลกไม่ตกไปอยู่ใต้เส้นความยากจนได้
“ประวัติศาสตร์จะจดจำวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ว่าคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 2 ล้านรายทั่วโลก
มันยังจะจดจำอีกด้วยว่า ประชากรอีกหลายร้อยล้านคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัวและตกไปอยู่ในความยากจน”
“ประวัติศาสตร์ยังจดจำด้วยว่านี้คือวิกฤตโรคระบาดครั้งแรกนับตั้งแต่มีการบันทึกมาที่ทำให้ระดับความเหลื่อมล้ำของแทบทุกประเทศในโลกนี้เพิ่มขึ้นอย่างพร้อมเพรียง”
สองประโยคว่าด้วยการจดจำทางประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ออกมาจากปากของ ‘คริสตาลินา จอร์เจียวา’ ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ก่อนหน้านี้ในช่วงที่การแพร่ระบาดยังระอุและทั่วโลกไม่เห็นความหวังจากวัคซีน ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ เคยออกมาเตือนเรื่องภาวะหนี้ทั่วโลกที่จะเพิ่มสูงขึ้น แต่จะสร้างความยากลำบากอย่างสาหัสกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจด้อย/กำลังพัฒนา
กลับมาครั้งนี้ งานศึกษาครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำชัดว่า ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลทั่วโลกจะปิดตาข้างเดียวและกินผลประโยชน์อย่างที่เคยเป็นมา
นับตั้งแต่การระบาดเริ่มต้นวลียอดฮิตอย่าง “คนรวยมีแต่รวยขึ้น ส่วนคนจนก็จนลง” ยิ่งเป็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างวันที่ 18 มี.ค. - 31 ธ.ค.2563 มหาเศรษฐีระดับโลกมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นราว 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 122.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ความมั่งคั่งรวมของพวกเขาขยับขึ้นมาเป็น 11.95 ล้านล้านดอลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 375 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขในระดับเดียวกับที่ประเทศกลุ่ม จี20 ใช้ในวิกฤตครั้งนี้
คิดเล่นๆ ว่า ‘เจฟ เบซอส’ สามารถจ่ายโบนัสให้พนักงานแอมะซอนทั้ง 876,000 ราย คนละ 105,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.3 ล้านบาท) ในเดือน ก.ย.2563 แล้วยังคงมีความร่ำรวยเท่ากับระดับที่เขาเคยมีก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาด
บนดาวเคราะห์โลกดวงเดียวกัน ‘ฟาริดา’ ชาวบังกลาเทศผู้ประกอบอาชีพในโรงงานสิ่งทอแห่งหนึ่งของประเทศต้องตกงานในเดือน เม.ย.2563 ในขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน นั่นหมายความว่า เธอสูญเสียทั้งเงินเดือนและผลประโยชน์ตามกฎหมายจากการคลอดบุตรไปทั้งหมด
“ทั้งท้องอยู่, กลัวไวรัส, ตกงาน, ไม่มีสวัสดิการคลอดบุตรรองรับ ... บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า”
ช่วงตอนหนึ่งของงานศึกษาจากออกซ์แฟมระบุว่า “การปล่อยให้มหาเศรษฐีได้กำไรจากวิกฤตท่ามกลางชีวิตคนอื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก เป็นเรื่องที่ทั้งไร้สามัญสำนึกทั่วไป ไร้สามามัญสำนึกทางศีลธรรม และไร้สามัญสำนึกทางเศรษฐกิจ”
แม้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบสุทธิจากวิกฤตครั้งนี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 295 คน ที่ตอบแบบสอบถามของงานศึกษาครั้งนี้ จากทั้ง 79 ประเทศทั่วโลก ลงความเห็นสอดคล้องว่าระดับความเหลื่อมล้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างยิ่งยวด ในจำนวนนี้ เกินครึ่งระบุว่า ความไม่เท่าเทียมทางเพศจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ไม่ต้องกล่าวให้มากความอีกต่อไปว่าประชากรโลกต้องการสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ เท่าเทียมและเห็นคุณค่า เศรษฐกิจที่ห่วงใยคุณภาพชีวิตคน และความมั่นคงทางรายได้ ริษยาอาจเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้แต่ไม่มีใครดูแคลนหรือเคลือบแคลงใจคนรวยที่ทำถูกกฎหมาย ทว่าหลายครั้งหลายหน คนเหล่านี้กลับได้สิทธิประโยชน์มากเกินผู้อื่นและเสียผลประโยชน์น้อยกว่าผู้ใด
การเก็บอัตราภาษีก้าวหน้ากับเหล่าผู้มั่งคั่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกต้องเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ กรณีศึกษารัฐบาลที่ประสบความสำเร็จในการเก็บภาษีคนรวยเพื่อช่วยสังคมส่วนรวมเห็นได้กับประเทศอาร์เจนตินา ที่ใช้ช่วงเวลาวิกฤตบังคับใช้ภาษีความมั่งคั่งชั่วคราว จนสามารถสร้างรายได้ราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 94,000 ล้านบาท เพื่อนำไปจัดสรรทั้งทางการแพทย์และการบรรเทาทุกข์ให้กับผู้ได้รับผลกระทบ
หากย้อนกลับไปดูข้อมูลการเก็บภาษีของ 100 ประเทศทั่วโลก ระหว่างปี 2007 - 2017 พบว่าเฉลี่ยแล้วระดับภาษีเงินได้นิติบุคคล (corporate income tax) ลดลงถึง 10% ขณะที่ระดับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากลับเพิ่มขึ้นกว่า 13% เช่นเดียวกับภาษีสินค้าและบริการที่ปรับตัวขึ้นถึง 10% ขณะที่ภาษีความมั่งคั่ง (wealth taxes) ลดลง 1%
ให้เห็นภาพชัดชึ้นไปอีก งานศึกษาระหว่างปี 2009 - 2018 พบว่า เหล่าผู้ถือหุ้นของ 40 บริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฝรั่งเศสมีรายได้เพิ่มขึ้น 70% ขณะที่ซีอีโอของบริษัทเหล่านี้มีเงินเดือนเพิ่มขึ้น 60% ทว่าเงินเดือนของพนักงานในบริษัทเหล่านี้กลับขยับเพียงบ 20% เท่านั้น
ข้อเท็จจริงที่ปรากฎทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของแต่ละประเทศทั้งสิ้น ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า งานศึกษาสภาพความเหลื่อมล้ำหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008-2009 พบว่า หลังจากเกิดความยากลำบากดังกล่าว รัฐบาลหลายประเทศเลือกใช้นโยบายรัดเข็มขัดทางการคลังกับคนจนของประเทศ และใช้นโยบายลดภาษีให้กับคนรวย
หากผสานข้อมูลระดับอัตราภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและภาษีสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นกับสวัสดิการของคนทั่วไปที่ลดลง เทียบกับระดับภาษีที่จัดเก็บกับคนรวยที่ลดลง ย่อมตอบคำถามได้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะมิติด้านรายได้ถึงเพิ่มขึ้น และไขข้อสงสัยได้อย่างชัดแจ้งว่าใครอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้
ถามว่าขึ้นภาษีคนรวยจะช่วยประเทศได้แค่ไหน ออกซ์แฟมลองคำนวณโดยใช้กรณีศึกษาจากประเทศโมรอคโคและพบว่า หากรัฐบาลเลือกขึ้นภาษีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเพียง 2% จะสร้างรายได้ถึง 6,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 193,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2010 - 2019 ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวสามารถครอบคลุมประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานให้ประชากรได้สูงถึง 7.5 ล้านคน หรือคิดเป็นสองเท่าของตัวเลขประชากรโมรอคโคที่มีประกันสุขภาพในปัจจุบัน
เพื่อสรุปภาพรวมให้เห็นโดยง่าย หากสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเทรนด์ปัจจุบัน ภายในปี 2030 ประชากรเกือบ 2,800 ล้านคน ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยเงินยังชีพราว 5.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ/วัน หรือประมาณ 172 บาท
หากสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำเลวร้ายลงเพียงสองจุดเปอร์เซ็นต์ ณ ปี 2030 ตัวเลขผู้อยู่ใต้เส้นความยากจนจะพุ่งไปเกือบ 3,400 ล้านคน แต่ถ้าความเหลื่อมล้ำดีขึ้นสองจุดเปอร์เซ็นต์ ตัวเลขดังกล่าวจะกลายเป็น 2,400 ล้านคน
คำพูดของ ‘อังตอนียู กูแตรึช’ เลขาธิการสหประชาชาติ คนที่ 9 อาจช่วยสรุปสถานการณ์โลกปัจจุบันได้อย่างดียิ่ง เมื่อเขาพูดว่า “ขณะที่เราทุกคนล้วนลอยอยู่ในท้องทะเลเดียวกัน มันชัดเจนว่าบางคนอยู่บนเรือยอชท์หรู ขณะที่คนอื่นๆ เกาะอยู่กับเศษซากที่หลงเหลือ”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง;