ไม่พบผลการค้นหา
เมื่อเรื่องราวอดีตซูเปอร์สตาร์เอามาสร้างเป็นละครสุดเชย จากที่น่ากลัวว่าจะแป้กในยุคนี้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นดีได้ในแบบของมัน

หนึ่งในคนวงการบันเทิงที่เข้าข่ายฉายา ‘นางฟ้าตกสวรรค์’ มากที่สุดน่าจะเป็น อายูมิ ฮามาซากิ นักร้องหญิงชาวญี่ปุ่นที่เคยโด่งดังเป็นพลุแตกในช่วงทศวรรษ 2000 ด้วยเอกลักษณ์เสียงสูง (จนแสบหู) ดวงตากลมโต และความสามารถในการแต่งเนื้อเพลง (ภายหลังยังแต่งทำนองเองด้วย) อัลบั้มของเธอมียอดขายทะลุล้านแผ่นหลายชุด เพลงดังๆ เช่น Boys & Girls, Fly High และ M

แต่เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2010 ยอดขายของอายูมิเริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ จากหลักล้านเป็นหลักแสนและกลายเป็นหลักหมื่นในที่สุด นอกจากนั้นภาพพจน์ของเธอก็ไม่สู้ดีนัก ในวัยใกล้สี่สิบเธอมีข่าวหย่าร้างถึงสองครั้ง (ซึ่งสังคมญี่ปุ่นมักมองเป็นเรื่องแง่ลบ) แถมเธอยังนำเสนอตัวเองในมิวสิกวิดีโอหรือคอนเสิร์ตด้วยภาพลักษณ์สาวสุดเซ็กซี่หรือไม่ก็ใส่ชุดนักเรียนแอ๊บแบ๊ว ผู้คนมองว่าเธอทำตัวไม่สวยสง่าสมวัย แต่บรรดาแฟนคลับเดนตายก็ยังคงสนับสนุนเธอต่อไป

ปี 2019 ชื่อของอายูมิกลับมาเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง (แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี) เมื่อหนังสือชื่อ M: Ai Subeki Hito ga Ite โดย โคมัตสึ นารุมิ ออกวางจำหน่าย มันเป็นหนังสือที่ว่าด้วยอาชีพของอายูมิที่เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ของเธอ แต่นำเสนอแบบกึ่งฟิคชั่น (!?) ชื่อหนังสือนั้นแปลว่า “ใครสักคนที่ฉันควรรัก” (เป็นเนื้อเพลงจากเพลง M) และอายูมิก็ได้พูดไว้ในหนังสือว่า “ฉันเคยรักคนคนหนึ่งมากถึงขนาดยอมทำลายตัวเอง”

03.jpg

หนังสือเล่มนี้กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์และขายดิบขายดีเพราะคาดการณ์กันว่าผู้ชายในหนังสือคือ แม็กซ์ มัตสึอุระ ผู้บริหารค่าย Avex และโปรดิวเซอร์คู่บุญอายูมินั่นเอง เอาเข้าจริงสองคนนี้มีข่าวกิ๊กกันมาตั้งแต่ช่วงยุค 00 แล้ว เป็นเรื่องเม้าฉาวโฉ่ของวงการด้วยทั้งอายุที่ห่างกันมาก หรือเรื่องที่มัตสึอุระเองมีภรรยาอยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้เลยเป็นเหมือนการยอมรับอย่างกลายๆ ว่าทั้งคู่เคยคบหากันจริง

ยัง...ยังไม่พอ ด้วยความที่หนังสือขายดีมาก เลยมีการต่อยอดสร้างเป็นละครโทรทัศน์ที่เริ่มออนแอร์เมื่อเมษายนที่ผ่านมา โดยเรื่องราวว่าด้วยอายู (รับบทโดย คาเลน อันไซ ที่หน้าเหมือนอายูมิจนน่าขนลุก) เด็กสาวที่เข้ามาตามฝันในโตเกียว เธอได้พบกับมาสะ (โชเฮ มิอุระ) ผู้บริหารค่ายเพลงที่เห็นความพิเศษในตัวเธอและสัญญาว่าจะปั้นให้เธอเป็นดาวดัง

ต้องบอกกันตรงๆ เลยว่าตอนที่ผู้เขียนเห็นทั้งโปสเตอร์และทีเซอร์ของละครก็รู้สึกว่ามัน ‘ไม่น่าไว้ใจ’ อย่างยิ่ง เพราะมันดูเฉิ่มเชยเสียเหลือเกิน พอได้ดูละครจริงๆ ก็พบว่าเขาเล่นกับบรรยากาศของยุค 90 (ช่วงที่อายูเพิ่งเริ่มไต่เต้า) แบบเต็มที่ ทั้งโทรศัพท์แบบฝาพับ, แฟชั่นห้อยพวงกุญแจพะรุงพะรัง, เทรนด์การเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ (เช่น นางเอกจะพูดว่า “อายูจะพยายามค่ะ” แทน “ฉันจะพยายามค่ะ”) รวมไปถึงเพลงดังในยุคนั้นทั้ง TRF, Every Little Thing และนานาเสะ ไอคาวะ (เจ้าของเพลง Bye Bye ที่เคยฮิตในบ้านเรา)

08.jpg

เล่นกับความย้อนยุคยังไม่พอ ละครยังเล่นกับความ ‘น้ำเน่า’ แบบเต็มที่ มุกประเภทตัวร้ายแกล้งขัดขานางเอกหรือเอาน้ำส้มราดหัวแบบที่ละครไทยเลิกไปแล้วก็ยังมี นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยการแสดงแบบเล่นใหญ่ ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย และฉากที่ไร้ความสมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง โดยผู้เขียนให้ยกตัวอย่างสัก 3 ฉากให้พอเห็นภาพ

02 (2).jpg

1. พระเอกนัดนางเอกมาคุยที่ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง แต่นางอิจฉาขัดขวางไม่ให้เธอเข้ามาในร้าน สิ่งที่อายูทำคือไปแหกปากร้องเพลงอยู่หน้าร้าน (โดยเธอร้องเพลง Departures ของวง globe อีกเพลงคลาสสิกของยุค 90) แน่นอนว่าพระเอกต้องได้ยินและรีบวิ่งออกมาหาเธอ

2. ค่ายเพลงจัดออดิชั่นนักร้องด้วยการวิ่งมาราธอน 10 กิโลเมตร (!?) อายูถูกตัวร้ายแกล้งจนไหล่หลุดแต่เธอก็ยังอุตส่าห์มาวิ่ง ระหว่างทางฝนตกหนัก เธอเริ่มท้อแท้ ทันใดนั้นพระเอกปรากฏตัวบนเนินเขาและตะโกนลงมาหานางเอกว่า “อย่ามองตอนนี้ ให้มองไปที่อนาคตเซ่!” อายูฮึดสู้จนวิ่งได้ที่หนึ่งในที่สุด ปิดท้ายด้วยการที่อายูกับมาสะยืนเงยหน้ามองสายรุ้งด้วยกัน (ถึงตรงนี้ผู้เขียนหัวเราะแบบหยุดไม่ได้ไป 3 นาทีเต็ม)

3. บอสใหญ่ของค่ายอยากให้อายูเดบิวต์เป็นศิลปินกลุ่ม แต่อายูยืนยันว่าเธอจะเป็นศิลปินเดี่ยวหรือไม่ก็ลาออก มาสะยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมพูดว่า “ยัยโง่ นึกว่าฉันจะยอมให้เธอออกเหรอ” จากนั้นก็วิ่งเข้าไปอุ้มนางเอก หมุนตัวติ้วๆ และทันใดนั้นเพลง You ของอายูมิก็บรรเลงขึ้น (เอ่อ คุณมาสะครับ ถ้าเป็นยุคนี้คุณอาจจะโดนข้อหา sexual harassment นะจ๊ะ)

01 (1).jpg

อย่างไรก็ดี แม้ M: Ai Subeki Hito ga Ite จะเต็มไปด้วยฉากน่าขนลุกขนพองมากมาย แต่ละครก็มีแฟนกลุ่มหนึ่งติดตามอย่างเหนียวแน่น ส่วนตัวแล้วผู้เขียนมองว่าผู้สร้างไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดปล่อยงานที่ไม่มีคุณภาพออกมา หากแต่พวกเขารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ลักษณะความเชยหลุดโลกของละครไปกันได้ดีกับคาแรกเตอร์ของอายูมิ ฮามาซากิ ที่ทำตัวไร้กาลเวลาราวกับเป็นเด็กสาวแรกรุ่นเสมอ ดังนั้นละครเรื่องนี้อาจไม่ใช่การล้อเลียน (Parody) แต่อาจจะใกล้เคียงกับคำว่า Kitsch (ศิลปะที่ถูกมองว่าไร้ค่า แต่กลับถูกคนบางกลุ่มเชิดชู) เสียมากกว่า

น่าเสียดายว่าหลังจากออกอากาศไปได้เพียง 3 ตอน M: Ai Subeki Hito ga Ite ก็ต้องหยุดออกอากาศชั่วคราวด้วยผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนอายูมิที่เดิมทีปีนี้จะมีทัวร์คอนเสิร์ต 38 รอบก็ต้องยกเลิกทั้งหมดหลังจากเล่นไปได้เพียงสองรอบ

ถึงกระนั้นเชื่อว่าเธอจะกลับมาโลดแล่นในวงการแน่นอน อายูมิคือคนประเภทที่ตัวทำเป็น ‘ควีน’ อยู่เสมอไม่ว่าจะตกต่ำแค่ไหนหรือถูกนินทาว่าร้ายอย่างไร เราอาจเคยหยามเหยียดรูปแบบการใช้ชีวิตของเธอ แต่หากมองในอีกแง่หนึ่ง มันก็เป็นทัศนคติที่น่าเคารพทีเดียว

04.jpg