มีคนที่เลือกเกิดไม่ได้และยอมจำนนอยู่นับพันล้านคนบนโลกใบนี้ เเต่มีพวกเลือกที่จะสู้อยู่ไม่เท่าไหร่....
นิว - จตุพร แซ่อึง คือหนึ่งในนั้น
หญิงวัย 24 ปี ชาวบุรีรัมย์ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับกลุ่ม ‘บุรีรัมย์ปลดแอก’ หลังไม่พอใจรัฐบาลประยุทธ์ ก่อนเจอผู้ที่เรียกตัวเองว่า “คนรักเจ้า” กล่าวหาเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะสวมชุดไทยและมีคนกราบไหว้ ขณะเข้าร่วมกิจกรรมแฟชั่นโชว์ที่หน้าวัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือ วัดแขก ถนนสีลม
“หนูเช่าชุดมาแค่ 700 บาท ไม่คิดว่าจะปังขนาดนี้” เธอแค่นหัวเราะกับสิ่งที่ได้รับ
ย้อนกลับไปเมื่อ 29 ต.ค. กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ประกาศจัดกิจกรรมแคตวอล์กราษฎร ที่หน้าวัดแขก เมื่อ นิว – จตุพร รับทราบ เธอเลือกเช่าชุดไทยมาสวมใส่ ด้วยเหตุผลว่าอยากอนุรักษ์ความเป็นไทยและ “อยากสวยค่ะ” เกิดเป็นผู้หญิงผมสั้นมาตลอดชีวิต อยากใส่ชุดไทยบ้าง
“ใส่แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองสวยอะค่ะ”
นิว – จตุพร เซ็ทผมตั้ง แต่งหน้าเข้ม กรีดอายไลน์เนอร์ ทาปากสีแดง เผยโฉมบนพรหมแดงแคตวอล์กราษฎร ผู้คนต่างพากันส่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้อง รวมถึงพนมมือไหว้แนบพื้น
“เขาแหวกทางให้เรา บอกว่าพระราชินี ทรงพระเจริญๆ เราไม่ได้เตี๊ยมนะคะ ว่าต้องให้คนมากราบ หนูยืนพอยท์ขาเฉยๆ” เธอเล่า “เราพยายามบอกแล้ว เฮ้ยไม่ได้นะพี่ หนูไม่ได้แต่งตัวเลียนแบบใคร หนูมาของหนูเอง มันเป็นงานแฟชั่น” นิวบอกว่าร่มที่ถือระหว่างเดินโชว์ตัวเป็นการโฆษณาสินค้าให้กับกลุ่ม We Volunteer
ภาพสาวผมสั้นในชุดสีชมพูถูกสื่อและผู้คนจำนวนมากลั่นชัตเตอร์นำไปเผยแพร่และวิพากษ์วิจารณ์ต่อกันทั่วสังคมออนไลน์
“หนูไม่สามารถพูดได้ว่าฉันไม่ได้เลียนแบบใคร เพราะคนจะเชื่อแบบไหน เขาก็เชื่อแบบนั้นอยู่แล้ว”
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า นับตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มราษฎรเป็นต้นมามีแกนนำได้รับหมายเรียก มาตรา 112 รวมแล้ว 34 ราย
“หนูเคยมองว่ากฎหมายนี้มันศักดิ์สิทธิ์ ใครดูหมิ่นกษัตริย์ถึงจะโดน แต่ตอนนี้มันใช้กับใครก็ได้ ใครจะแจ้งก็ได้ มันเป็นการกลั่นแกล้งกันมากกว่า ไม่พอใจใครก็เอาไปตีความ คนนี้มันล้อเลียนเจ้า ล้อเลียนสถาบัน เอาไปแจ้งกันมั่วซั่ว”
นิวกล่าวยืนยัน เราสามารถคอสเพลย์เป็นได้ทุกคนและ “ชุดไทยใครก็ใส่ได้” ไม่ได้เป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
นักเคลื่อนไหวชาวบุรีรัมย์รู้ดีว่าการต่อสู้กับผู้มีอำนาจไม่ได้หอมหวาน แต่ ม.112 นั้นเซอร์ไพรส์และทำให้เธอกินไม่ได้ นอนหลับไม่สนิทในช่วงแรก
“มีคิดไปถึงเรื่องติดคุกเหมือนกัน ถ้าติดคุกมาเราจะทำยังไง ต่อสู้ยังไง” เธอบอกก่อนที่เพื่อนในกลุ่มจะแทรกเข้ามาว่า “มันนอนไม่หลับเลย บางทีก็ละเมอถึงหมายจับ”
โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องใช้เวลา ขณะที่ความสูญเสียนั้นเกิดขึ้นได้ทันที เธอเสียไปแล้วถึง 3 อย่างหลังออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้ง อาชีพ ความสัมพันธ์ และอิสรภาพ
“เมื่อก่อนหนูเป็นเชฟ ก่อนจะตกงานหลังขึ้นเวทีที่บุรีรัมย์ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ทางบ้านก็ไม่อยากให้ออกมาเคลื่อนไหว ส่วนอิสรภาพ เรากลับบ้านตัวเองไม่ได้ เพราะถูกข่มขู่และมีคำเตือน แม่บอกว่าอย่าเพิ่งกลับมา” นิวบอก
“ถ้าเขามาด้วยกฎหมายเราไม่กลัวนะคะ เราพร้อมสู้ แต่ถ้ามาด้วยกฎมืด น่าจะสู้ไม่ไหว”
นิว เกิดและโตใน จ.บุรีรัมย์ ครอบครัวมีฐานะปานกลาง มีกินมีใช้ไม่ได้เดือดร้อน ก่อนจะเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เธอทำงานเป็นผู้ช่วยเชฟ ในโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ กระทั่งรู้สึกทนไม่ไหวกับรัฐบาล ที่เธอบอกว่าบริหารโดยไม่เห็นหัวประชาชน
“ที่ผ่านมาไม่ได้มีความสนใจการเมือง เพราะเราไม่ได้เดือดร้อน ไม่รู้จะออกมาทำไม เราเพิ่งสนใจการเมืองจริงๆ จังๆ คือหลังเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุด บัตรมันเกินไปเยอะ เราเลยรู้สึกว่าต้องออกมาเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง”
เมื่อครั้งเป็นเด็ก เธอมั่นคงต่อสถาบัน ไม่สงสัยเเละไม่มีคำถาม ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป
“รักเจ้าในระดับที่สักลงบนผิวหนัง ตอนนั้นลงรูปและโพสต์ประมาณว่าขอให้ท่านสถิตอยู่ในผิวหนังลูกตลอดไป ตอนนี้ก็ยังอยู่(เปิดคอเสื้อโชว์) และคิดว่าน่าจะอยู่ตลอดไป เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจที่เรามีมุมมองที่แตกต่างในแต่ละช่วงอายุ
“จุดเปลี่ยนที่ทำให้เรามองสถาบันแตกต่างไปจากเดิม เกิดขึ้นหลังจากเริ่มหาข้อมูล ศึกษาอะไรหลายอย่างที่เราไม่เคยได้เห็นในหนังสือเรียนกระแสหลักและค่านิยมที่ปลูกฝังด้านเดียวมาตลอด แต่เราไม่ได้ต้องการล้มล้างสถาบัน เราต้องการปฏิรูป”
อาวุธเดียวในการเรียกร้องของเธอ คือ ข้อเท็จจริง และคดีความไม่ได้ทำให้ไฟมอดลง
“เราขอยืดหยัดว่าจะต่อสู้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะโดนอีกกี่คดี” เธอทิ้งท้าย “การต่อสู้ มันคุ้มค่าเสมอ ไม่ว่าเราจะชนะหรือไม่ อย่างน้อยเราก็ภูมิใจ ที่เราไม่ก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง”
ต่างๆ นานา