บยอน ฮีซู อดีตจ่าสิบเอกพลขับรถถังหญิงกองทัพเกาหลีใต้วัย 23 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพบเป็นศพในบ้านพักที่เมืองชองจู ทางตอนใต้ของกรุงโซล หลังจากที่เจ้าหน้าที่ของศูนย์สุขภาพจิตแห่งชาติที่เธอเข้ารับการปรึกษาอยู่เป็นประจำพบว่าเธอขาดการติดต่ออย่างผิดสังเกตนานหลายวัน หลังการเข้าตรวจสอบเจ้าหน้าที่พบศพของเธอ ซึ่งคาดว่าจะเสียชีวิตมานานหลายวันแล้ว

บยอน ฮีซู เข้ารับการเกณฑ์ทหารเมื่อปี 2560 หลังการเข้าประจำการได้เกือบ 2 ปี เธอตัดสินใจเดินทางมาเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศที่ประเทศไทยในเดือน พ.ย.2562 ซึ่งหลังจากนั้นเกิดข่าวดังในเกาหลีใต้ขึ้นและเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมอนุรักษ์นิยมของเกาหลีใต้ ขณะที่กระทรวงกลาโหมในขณะนั้นก็ชี้ว่าจะต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่าจะดำเนินการกับทหารที่เข้ารับการผ่าตัวแปลงเพศอย่างไร เพราะไม่มีการบัญญัติไว้ในกฎระเบียบของกองทัพ

โฆษกกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ระบุในขณะนั้นว่า คำสั่งจะมีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากผลตรวจร่างกายที่ออกโดยโรงพยาบาลทหารระบุว่า บยอนสูญเสียอวัยวะเพศชายในการผ่าตัดแปลงเพศ เข้าข่ายเป็นความพิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่กองทัพใช้พิจารณาปลดทหาร และกรณีที่ความพิการไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่จะทำให้บุคลากรดังกล่าว 'ขาดคุณสมบัติ' ในการรับใช้กองทัพ

อย่างไรก็ตามกองทัพเกาหลีใต้ได้ข้อสรุปและทำการสั่งปลดบยอน ฮีซู ในฐานะทหารข้ามเพศคนแรกของประเทศ มีผลวันที่ 23 ม.ค.2563 เนื่องจากเหตุผลของการผ่าตัดแปลงเพศ และแม้ว่าบยอน ฮีซู จะพยายามยื่นเรื่องขอเข้ารับการปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งในฐานะ 'ทหารหญิง' ทางกองทัพก็ไม่อนุญาต ซึ่งทางโฆษกของกลุ่มต่อสู้เพื่อสิทธิทหารเกาหลีใต้เปิดเผยว่า บยอน ฮีซู ได้ยื่นเรื่องฟ้องศาลไว้ กรณีที่เธอถูกสั่งปลดประจำการจากเหตุผลเรื่องการแปลงเพศซึ่งมีกำหนดเข้ารับฟังการตัดสินในเดือน เม.ย.นี้  

การตัดสินของกองทัพเรียกเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากฝั่งผู้สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศในเกาหลีใต้ ซึ่งแน่นอนคำสั่งดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้แก่บยอนฮีซู ซึ่งยืนยันว่า เธอเป็นทหารคนหนึ่งของสาธารณรัฐเกาหลี และการเป็นทหารคือหนึ่งในความฝันวัยเด็กของเธอ แต่เธอต้องทรมานจากอาการซึมเศร้าเพราะอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองขัดแย้งกับเพศสภาพ จนนำไปสู่การผ่าตัดแปลงเพศในที่สุด

"ขอให้มองข้ามอัตลักษณ์ทางเพศของฉันไป ฉันต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าฉันสามารถเป็นทหารที่ดีสุดคนหนึ่งที่จะปกป้องประเทศชาติได้ โปรดให้โอกาสนั้นแก่ฉันด้วย" บยอนฮีซูกล่าว พร้อมขอร้องให้กองทัพพิจารณาคุณสมบัติของเธอในฐานะ 'ทหารหญิง' คนหนึ่ง