วันที่ 11 พ.ค. 2564 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงมาตรการทางเศรษฐกิจว่า มีการพิจารณาโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก วงเงิน 45,000 ล้าน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น ซึ่งจะเร่งดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์ของโควิดนั้นบรรเทาลง โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เป็นกลไกสำคัญภายใต้การติดตามของรองนายกรัฐมนตรีทุกคน
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเพิ่มเงินสนับสนุนในโครงการเราชนะอีกคนละ 1,000 บาทเป็นเวลา 2 สัปดาห์ จะมีประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 33.5 ล้านคน รวมทั้งการเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนผ่านโครงการม 33 เรารักกัน อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท 2 สัปดาห์ โดยจะขยายโครงการออกไปถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่า 8 ล้านคน ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านบาท ทั้งหมดคือการทำงานอย่างเต็มที่ของตนและผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นประโยชน์และพิสูจน์ได้ตามหลักการของการแพทย์และสาธารณสุขที่ต้องคิดร่วมกัน
โดยนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ตนเองไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่านำข้อมูลมาสังเคราะห์ หาปัญหาและอุปสรรคให้เจอว่าตรงไหน นายกรัฐมนตรีจะสามารถปลดล็อคให้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่านายกรัฐมนตรีจะเอาอำนาจเหล่านั้นมาใช้ด้วยตัวเอง เพราะตนรู้ไม่เท่าหมอ วันนี้ก็ทำงานอย่างนี้มาโดยตลอด โดยศบค. บูรณาการร่วมกัน ทำงานต่อเนื่องทุกวันไม่มีวันหยุด ในการวางแผนการให้ความช่วยเหลือประชาชน คลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด
และบรรเทาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัญหาปากท้องของประชาชน ในการ เตรียมความพร้อมเข้าสู่อนาคตของไทย และตอบรับโอกาสที่จะมาถึง ยืนยันว่าตนให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวด้วย อย่างไรก็ตาม จะต้องเตรียมว่าพื้นที่จังหวัดใดบ้างที่มีความพร้อม เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการต่างๆ ที่องค์กรต่างประเทศกำหนดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาด การนำคนเข้าออกประเทศ เราคิดแต่ก็ต้องดูหลักการสำคัญของประชาคมโลกด้วย
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านวัคซีน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ผ่านมามีการระดมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมไปถึงผู้สูงอายุ ซึ่งบางคนอาจอยู่ที่บ้านไม่สามารถเดินทางมาฉีดวัคซีนได้ โดยเร่งรัดทุกอย่าง และได้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 2 ล้านโดส ตามวัคซีนที่มีอยู่ โดยในแต่ละวันจะระดมฉีดวัคซีนให้ได้หลายหมื่นโดส ส่วนมาตรการการจัดหาวัคซีนฉุกเฉินของรัฐบาล ได้วัคซีนเพิ่มในเดือนนี้อีก 3.5 ล้านโดส
ซึ่งต้องค่อยๆสร้างความเข้าใจ สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนเนื่องจากอยู่ในขั้นตอนการเจรจา ซึ่งอาจจะเป็นการทยอยจัดส่งวัคซีน เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นที่ได้ยินดีแล้วว่าน่าจะชัดเจนแล้วว่าวัคซีนจะเข้ามาถึงไทย 3.5 ล้านโดส รวมถึงมีความร่วมมือกับภาคเอกชนที่จะเพิ่มศักยภาพในการฉีดวัคซีน
นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า จะสามารถจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนภายในประเทศได้อย่างแน่นอน และจะไม่หยุดในการจัดหาและสำรองใช้เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน ซึ่งประเทศไทยจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่จะเป็นศูนย์กลางในการผลิตวัคซีน โควิด -19 ของบริษัท astrazeneca ที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งมีมาตรฐานสูง ผ่านการรับรองคุณภาพจากทั่วโลกและจะสร้างความมั่นคงยั่งยืนในการต่อสู้ไวรัสโควิด-19 ในระยะยาว และสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจการแข่งขันให้กับประเทศชาติในอนาคต
โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ตนได้เสนอให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ รายได้ดำเนินการอย่างครบวงจรทั้งการจัดหาการกระจาย รวมไปถึงการฉีดเพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประเทศไทย สิ่งที่ตนกล่าวไปทั้งหมดจะเป็นจริงไม่ได้ หากประชาชนในประเทศไม่เข้ารับการฉีดวัคซีน โควิด -19 ตนจึงขอเชิญชวนประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยนั้นสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ยืนยันว่า วัคซีนโควิด ทุกชนิดสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการติดเชื้อและเสียชีวิตได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนโอกาสผลข้างเคียงนั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก หากเปรียบเทียบกันแล้วกับโอกาสในการติดโควิด และรายการเสียชีวิตจากโควิดนั้นสูงกว่าการเสียชีวิตหลายเท่า การฉีดแต่ละครั้งจะต้องมีแพทย์เป็นผู้ประเมินความเหมาะสม คอยเฝ้าดูอาการหลังการฉีด ตนและคณะรัฐมนตรี ไปรัฐบาลฝ่ายค้านต่างก็มีผู้ฉีดวัคซีน โควิด ไปแล้วแต่ยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
โดยล่าสุดมีการลงทะเบียน ยืนยัน นัดหมายการฉีดวัคซีน ผ่านระบบหมอพร้อมและช่องทางต่างๆ สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 1.6 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ 5 แสนคน และลำปาง 2 แสนคน ซึ่งถือมีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม ตนขอชื่นชมจังหวัดลำปาง โดยขอให้ทุกจังหวัด ได้เร่งดำเนินการให้ผู้มาขอวัคซีนให้ได้มากที่สุดผ่านกลไกในพื้นที่ ตนในฐานะรัฐบาลก็จะพิจารณาจัดสรรวัคซีนลงไปในพื้นที่ให้
ซึ่งในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรีระบุว่า ขณะนี้คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกกำลังเผชิญสถานการณ์กับศัตรูตัวร้ายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนที่ชื่อว่าไวรัส โควิด -19 และทางเดียวที่เราจะเอาชนะกับศัตรูตัวนี้ได้ คือการร่วมแรงร่วมใจร่วมมือกันแก้ปัญหาไม่ใช่การขัดแย้ง หรือแบ่งแยกกัน อนาคตของประเทศไทยต่อจากนี้ จะขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคงเพียงใด ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ที่จะต้องรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียวและเดินไปพร้อมกัน
วันนี้ไม่ใช่เวลาทำงานการเมือง หน้าที่ของรัฐบาลในเวลานี้ คือเพื่อบ้านเมืองและประชาชนที่เลือกเข้ามาทำงาน ตนขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วย และขอบคุณทุกๆคนที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามาโดยตลอด อะไรที่มีปัญหาขัดข้องไม่เข้าใจ ก็ให้สอบถามมาตนก็ยินดีให้หน่วยงานตอบกลับไป