แต่ถ้าให้เกริ่นนำอย่างคร่าวๆ มันว่าด้วยอเล็กซ์ ชายผู้ประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เขาจำใครไม่ได้เลย จำไม่ได้ว่ากระทั่งตัวเองเป็นใคร คนเดียวในโลกเขาจดจำได้คือมาร์คัส น้องชายฝาแฝดของเขา นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวแสนเหลือเชื่อของพี่น้องคู่นี้
บทความต่อจากนี้เปิดเผยส่วนสำคัญของภาพยนตร์
หลังรอดตายจากอุบัติเหตุ อเล็กซ์ใช้ชีวิตโดยมีมาร์คัสเป็นหางเสือ ในเมื่อความทรงจำของเขาแทบจะว่างเปล่า เขาจึงต้องพึ่งพิงมาร์คัสในการบอกเล่าทุกอย่าง พ่อและแม่เป็นคนอย่างไร เพื่อนคนนั้นคนนี้ชื่ออะไร ข้าวของใช้ในบ้านอยู่ตรงไหน ฯลฯ เท่าที่อเล็กซ์ได้รับทราบจากน้องชาย ครอบครัวของเขาก็ดูจะมีความสุขดี แม้จะมีเรื่องน่าตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง เช่นพ่อผู้เย็นชาและห่างเหิน หรือทั้งสองไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบางห้องของตัวบ้าน
ทว่าหลังจากพ่อและแม่เสียชีวิตลง ขณะที่จัดการกับข้าวของของแม่ อเล็กซ์พบกับเซ็กซ์ทอยมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรูปเปลือยของตัวเองกับน้องที่ถูกตัดหัวออก ในที่สุดอเล็กซ์จึงถามกับมาร์คัสว่า “พวกเราถูกแม่ล่วงละเมิดใช่มั้ย” มาร์คัสตอบว่าใช่พร้อมกับสารภาพว่าเรื่องราวครอบครัวแสนสุขเป็นคำโกหกทั้งเพ เขาสร้างเรื่องขึ้นมาไม่เพียงเพื่อปกป้องอเล็กซ์จากความเลวร้าย แต่เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากอดีตด้วย อย่างที่มาร์คัสกล่าว “อเล็กซ์สูญเสียความทรงจำโดยอุบัติเหตุ ส่วนผมเสียมันโดยสมัครใจ”
จากนั้นพี่น้องทั้งสองก็แยกย้ายกันไปมีชีวิตและครอบครัว พวกเขาออกหนังสือเกี่ยวกับชีวิตตัวเองชื่อ Tell Me Who I Am ในปี 2013 อย่างไรก็ดี มาร์คัสไม่เคยและไม่ยอมบอกอเล็กซ์ว่าแม่ทำอะไรกับพวกเขาบ้าง ในอีกด้านหนึ่งผู้กำกับไฟแรงนาม เอ็ด เพอร์กินส์ ได้อ่านหนังสือและสนใจจะทำมันเป็นสารคดี ทว่าเพอร์กินส์ต้องใช้เวลาคุยกับสองพี่น้องอยู่ถึงห้าปีกว่าพวกเขาจะยอมตอบตกลง
สารคดี Tell Me Who I Am แบ่งออกเป็น 3 พาร์ทด้วยกัน ตอนแรกเป็นมุมมองของอเล็กซ์ ส่วนตอนที่สองเป็นคำบอกเล่าของมาร์คัส นอกจากบทสัมภาษณ์ของทั้งสองแล้ว ผู้กำกับยัง ‘สร้าง’ เรื่องราวในวัยเด็กของพวกเขาขึ้นมาใหม่ (ภาษาหนังสารคดีเรียกว่า Re-enactment) เนื่องจากเจ้าของบ้านปัจจุบันไม่ยอมให้ทีมงานเข้าไปถ่ายทำ เพอร์กินส์และทีมจึงต้องเซ็ตบ้านขึ้นมาใหม่โดยอิงจากภาพถ่ายเก่าๆ ซึ่งเมื่อฝาแฝดได้ดูหนังเขาก็บอกว่ามันเหมือนจนน่าตกใจ แถมการนำเสนอฉากในบ้านยังทำออกมาน่าขนลุกประหนึ่งหนังสยองขวัญ
การสร้างอดีตอันหลอกหลอนขึ้นมาใหม่พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้สร้างมีความช่ำชองทางเทคนิคภาพยนตร์สูงมาก ไม่ว่าจะการตัดต่อ การใช้มุมกล้อง การจัดองค์ประกอบภาพ หรือดนตรีประกอบ แต่คำถามคือเทคนิคภาพยนตร์ในสารคดีเรื่องนี้ ‘แม่นยำ’ หรือ ‘คำนวณไว้ล่วงหน้า’ มากเกินหรือเปล่า คำถามนี้ปรากฏชัดในพาร์ทสุดท้ายของหนังที่อเล็กซ์กับมาร์คัสมาเผชิญหน้ากันโดยที่ฝ่ายหลังจะยอมเล่าถึงสิ่งที่แม่ทำเป็นครั้งแรก แทนที่จะได้คุยกันในบรรยากาศสบายๆ พวกเขากลับต้องนั่งในห้องที่จัดไฟเย็นชาอย่างกับหนังวันสิ้นโลก แต่ถ้าถามว่ามันส่งผลดีต่อพลังของหนังหรือไม่ ก็ต้องตอบเลยว่า ‘มาก’
ฉากการเผชิญกันของสองพี่น้องที่แสบจะเจ็บปวดยังทำให้ผู้ชมตั้งคำถามด้วยว่าผู้กำกับใช้ประโยชน์ซับเจคต์ของเขามากไปหรือไม่ ถึงกระนั้นเพอร์กินส์ให้สัมภาษณ์ว่ามาร์คัสยอมเล่าความลับของครอบครัวโดยสมัครใจ อีกทั้งเขายังมีนักจิตบำบัดประจำกองถ่ายตลอดเวลาด้วย ส่วนคำสารภาพของมาร์คัสนั้นเขาไม่กล้าพูดต่อพี่ชายตรงๆ จึงใช้วิธีพูดหน้ากล้อง จากนั้นเพอร์กินส์นำไปตัดต่อเป็นสามเวอร์ชัน ได้แก่ เวอร์ชันเต็มที่ยาว 4 นาที และอีกสองแบบที่สั้นและทอนเนื้อหาให้รุนแรงน้อยลง แต่ท้ายสุดแล้วมาร์คัสก็ตัดสินใจเลือก ‘ฉบับเต็ม’ ให้อเล็กซ์ดู
แม้ว่าสิ่งที่มาร์คัสบอกเล่าจะเป็นเรื่องน่าใจสลายและทำใจรับได้ยาก แต่อเล็กซ์ก็รู้สึกยินดีที่น้องชายยอมพูดมันออกมาหลังจากเก็บงำไว้หลายสิบปี อเล็กซ์บอกว่าสิ่งนี้คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายสำหรับความทรงจำของเขา มันคือของขวัญที่ทำให้ทั้งตัวเขาและมาร์คัสเป็นอิสระ
ถึง Tell Me Who I Am จะเป็นสารคดีที่มีข้อน่ากังขาบางประการ แต่สิ่งที่ทั้งเพอร์กินส์และพี่น้องฝาแฝดย้ำอยู่เสมอคือพวกเขาไม่ใช่เหยื่อ สารหลักของหนังไม่ใช่การบอกเล่าถึงชายทั้งสองที่มีชะตากรรมอันดำมืด แต่เป็นการเล่าถึงคู่พี่น้องต้องการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เหมือนกับที่อเล็กซ์ให้สัมภาษณ์ถึงฉากไคลแม็กซ์ของหนังเรื่องนี้ว่า “พวกเราทั้งสองต้องการ ‘ฉากจบ’ ที่จะทำให้เราใช้ชีวิตต่อไปได้”