วันที่ 23 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ตนได้เห็นข่าวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดเรื่องดำเนินการจัดนิทรรศการ การสัมมนา และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ "โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020" วงเงิน 240 ล้านบาท โดยมิชอบนั้น ทำให้เกิดความสงสัยและขอตั้งข้อสังเกตกับ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า มีความขยันในการเร่งรัดคดีของตน ฝ่ายเดียว เพราะภายในเดือนนี้ (ก.ค.) เดือนเดียว ป.ป.ช.ก็มีการชี้มูลความผิดกับตนถึง 2 คดีติดๆ กัน
โดยวันที่ 1 ก.ค. 2563 ชี้มูลเรื่องการใช้อำนาจโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ และเมื่อวานที่ผ่านมา (22 ก.ค.) ตนถูกชี้มูลในคดีนี้อีก ซึ่งผิดกับคดีที่ฝ่ายรัฐบาลปัจจุบันถูกร้อง และขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ดูเหมือน ป.ป.ช.จะให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลปัจจุบันมากเป็นพิเศษในหลายคดี ทั้งที่เป็นคดีที่สังคมเกิดข้อกังขาและตั้งข้อสงสัยมากมายกับการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.และผลการพิจารณาหลายคดีค้านกับความรู้สึกของประชาชน
วันนี้แทนที่ ป.ป.ช.จะให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณและการใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนทั้งจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ปากท้อง และปัญหาโควิด-19 ที่รอการแก้ไข แต่กลับมาเร่งรัด เร่งรีบ กับคดีของฝ่ายที่เห็นต่างและคิดว่าอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล
ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้อธิบายรายละเอียดของคดีที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูล ว่า คดีแรกกรณีการย้ายนายถวิล ตนไม่ได้เจตนาที่จะกลั่นแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด เพราะการที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลหนึ่งรัฐบาลใดใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติหน้าที่งานด้านความมั่นคงซึ่งต้องเป็นที่เชื่อถือและไว้วางใจของรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ได้กระทำกัน ซึ่งหลังจากที่ตนหมดหน้าที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการโยกย้ายข้าราชการอย่างมากมายแต่กลับไม่มีความผิดเพราะมีมาตรา 44 คุ้มครอง และคดีนี้มาจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2557 เพื่อให้ดิฉันพ้นจากหน้าที่ความเป็นนายกรัฐมนตรี และวันรุ่งขึ้น 8 พ.ค. 2557 ป.ป.ช. ก็ชี้มูลเรื่องคดีจำนำข้าวโดยเร่งรัด ต่อมาเดือนเดียวกัน วันที่ 22 พ.ค. 2557 ได้มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นจนทำให้เกิดปัญหามาจนถึงทุกวันนี้ ที่ประชาชนต้องเรียกหาความยุติธรรมและประชาธิปไตยไม่จบสิ้น
ส่วนเรื่องจัดทำโครงการโรดโชว์สร้างอนาคตไทย สืบเนื่องจากรัฐบาลของตนเสนอนโยบายสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง และโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายเรื่องโดยการออกร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ..... หรือที่เรียกว่า ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านเป็นโครงการที่ทำให้เกิดการรับรู้และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ไม่มีเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบใดๆ ต่อมารัฐบาลชุดปัจจุบันก็นำโครงการนี้มาดำเนินการต่อ และวันนี้รัฐบาลปัจจุบันก็จำเป็นต้องออกนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 3 ล้านล้าน ซึ่งมากกว่ารัฐบาลตนโดยปราศจากการท้วงติงหรือการตรวจสอบจาก ป.ป.ช.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ในต่างประเทศอย่างปุถุชนคนทั่วไป แต่ยังต้องมาถูกกล่าวหาในทางอาญา 2 เรื่อง ติดต่อกันในเวลาไม่ถึง 1 เดือนอีก เพื่อให้มีการพิจารณาคดีลับหลังตนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ช่างสอดคล้องหรือเหมือนกับความโชคร้ายในชีวิตของตน ที่โหยหาความยุติธรรมว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองอันเป็นที่รักเช่นกันเสียที
ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้ความยุติธรรมต้องเลือกข้าง ความยุติธรรมต้องไม่เหลื่อมล้ำ ถ้าเป็นนักการเมืองหรืออดีตนักการเมืองฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ผิดเสมอ แต่อีกฝ่ายทำอะไรไม่ผิดเลย ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมเสียแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งความศรัทธา ความเชื่อมั่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.อาจหมดสิ้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก Ekachai Chainuvati ของ อ.เอกชัย ไชยนุวัติ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ได้เข้ามาแสดงความเห็นในโพสต์ดังกล่าวด้วยว่า ความอยุติธรรม มี ครับ แต่ความยุติธรรมหายไปนานแล้วครับ ท่านนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เข้ามาตอบคอมเมนต์ว่า บางครั้งการนำนโยบายหรือสิ่งใหม่ๆมาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทำให้เกิดการสร้างงานในประเทศ และเป็นการใช้ภาษีของประชาชนเพื่อการลงทุนอย่างคุ้มค่า ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เกิดการต่อต้าน ถึงแม้เป็นนโยบายที่ดีกลับถูกโจมตี และคัดค้านแต่ในที่สุดรัฐบาลนี้ก็กลับนำเอานโยบายนี้ไปทำโดยใช้เงินมากกว่าอีก แต่กลับไม่มีใครค้านหรือตรวจสอบ