จากการสำรวจพบว่า ทรัมป์เป็นผู้มีคะแนนนิยมนำอยู่อย่างมาก เหนือผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันคนอื่นๆ ได้แก่ รอน เดอซานติส, นิกกี้ เฮลีย์, วิเวก รามาสวามี และ อาซา ฮัตชินสัน ใน 3 ด้าน โดยผู้ตอบแบบสอบถามอย่างน้อย 68% จากพรรครีพับลิกันกล่าวว่า ทรัมป์เป็นผู้สมัครที่มี “โอกาสที่ดีที่สุด” ที่จะได้รับการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.นี้ ในขณะที่เฮลีย์มีคะแนนนิยมลดลงเหลือ 12% เดอซานติส 11% และเลขหลักเดียวสำหรับผู้ท้าชิงคนอื่นๆ
ทรัมป์ยังมีความได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆ จากการสำรวจทัศนคติของผู้ตอบแบบสอบถามในประเด็นการเป็น “ผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุด” และ “ผู้มีคุณสมบัติที่ดีที่สุด” ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไป ทรัมป์ยังมีคะแนนนิยมนำคู่แข่งในด้านการมีความเห็นอกเห็นใจและค่านิยมที่มีร่วมกัน ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีส่วนต่างของคะแนนน้อยกว่าก็ตาม แต่ทรัมป์ได้รับคะแนนโหวตมากที่สุดสำหรับการเป็นผู้ที่ "เป็นภาพแทนถึงคุณค่าของคุณได้ดีที่สุด" และเป็นผู้ที่เข้าใจ "ปัญหาของคุณ" ได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ดี ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา มีแนวโน้มที่น้อยกว่าผู้ที่ไม่สำเร็จการศึกระดับสูง ที่จะเห็นว่าทรัมป์มีคุณสมบัติดีที่สุดในแต่ละคุณสมบัติที่ถูกถามในแบบสอบถาม ทั้งนี้ มีเพียงแค่ 27% ของผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยกล่าวว่า ทรัมป์เข้าใจปัญหาของคนเช่นพวกเขาได้ดีที่สุด เทียบกับ 57% ของผู้ที่ไม่มีปริญญา
โดยรวมแล้ว ผู้ใหญ่มากกว่า 70% ของพรรครีพับลิกัน มีความพึงพอใจต่อทรัมป์ ในฐานะผู้ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ในขณะเดียวกันนี้เอง มีเพียง 57% ของผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตจะรู้สึกในแบบเดียวกัน ที่พรรคเดโมแครตจะมีไบเดนเป็นตัวแทนของพรรค ยิ่งไปกว่านั้น จากการสำรวจพบว่า คะแนนนิยมของไบเดนลดลงสู่ระดับต่ำสุด สำหรับผู้ที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา
จากรายงานการสำรวจระบุว่า คะแนนนิยมของไบเดนมีเพียงแค่ 33% ซึ่ง “ต่ำกว่าทรัมป์ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (ที่ 36%) และต่ำที่สุดนับตั้งแต่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ระหว่างปี 2549-2551” ทั้งนี้ 58% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่พอใจกับผลงานของไบเดน โดยมีผู้หญิงประมาณ 31% รู้สึกพอใจต่อผลงานของไบเดนขณะดำรงตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดใหม่ เมื่อย้อนกลับไปเทียบในปี 2563 ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นผู้หญิงถึง 57% ที่พอใจต่อผลงานของไบเดน ในขณะเดียวกัน มีผู้ชาย 34% ที่พอใจต่อผลงานของไบเดนขณะดำรงตำแหน่ง
นอกจากนี้ คะแนนนิยมต่อไบเดนในบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำและฮิสแปนิก มีความนิยมต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยู่ที่ 21% ซึ่งเป็นคะแนนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มคนผิวดำ และ 15 คะแนนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มคนฮิสแปนิก เทียบกับ 6 คะแนนในกลุ่มคนผิวขาว
เมื่อเปรียบเทียบความหวังหลักระหว่างผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันและเดโมแครต รายงานระบุว่าไบเดนเป็นผู้นำทรัมป์ ในด้านการรับรู้ถึงความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือ โดย 41% บอกว่าไบเดนมีคุณสมบัติดังกล่าว และ 26% บอกว่าทรัมป์มีคุณสมบัติดังกล่าว อย่างไรก็ดี ทรัมป์เอาชนะไบเดนในด้านการรับรู้ถึง “ความเฉียบแหลมทางใจ” และ “สุขภาพกาย” ที่จำเป็นต่อการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
“การเลือกตั้งทั่วไประหว่างไบเดนกับทรัมป์ หากนั่นเป็นผลคะแนนจากช่วงต้น จะแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ของผู้สมัครที่ไม่ได้รับความนิยมอย่างเห็นได้ชัด” รายงานระบุเสริม
ที่มา: