ไม่พบผลการค้นหา
ผ่านไปแล้วกับกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน หรือ UPR รอบที่สามของประเทศไทย ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา วอยซ์สรุปเนื้อหาบางส่วนให้ได้พิจารณา

ทั้งนี้ Universal Periodic Review (UPR) หรือกระบวนการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน เป็นกลไกหนึ่งที่อยู่ภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council หรือ HRC) ซึ่งมีจุดประสงค์ในการตรวจสอบสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ในทุก ๆ ด้านของรัฐสมาชิกสหประชาชาติ 

กระบวนการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของแต่ละประเทศ จะเกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปีครึ่ง โดยแต่ละประเทศจะจัดทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศของตนเพื่อที่รัฐอื่น ๆ หรือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์หรือประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกด้านที่เกิดขึ้น 

สำหรับรอบนี้ รัฐบาลไทยมีเวลา 48 ชั่วโมง ในการตอบแบบไม่เป็นทางการว่าจะรับข้อเสนอแนะจากประเทศใดบ้าง เรื่องใดบ้าง หรือจัดเป็น Take Note คือไม่ตอบรับ หลังจากนั้นจะมีเวลาพิจารณาอย่างน้อย 2 เดือน ในการตอบรับอย่างเป็นทางการ 

ผู้แทนไทยแถลงและตอบคำถาม

นายธานี ทองภักดี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนำเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน รอบที่ 3 ว่า

เรื่องสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง ไทยเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกการชุมนุม ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายในเรื่องของการบังคับใช้ แต่ว่าสิทธิเสรีภาพนั้นจะต้องมีการใช้อย่างเหมาะสมในเชิงสร้างสรรค์ คำนึงถึงบริบทเรื่องของโรคโควิด-19 นอกจากนั้นยังมีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับภาคประชาสังคมต่างๆ รับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สนับสนุนให้เกิดการหารือระหว่างคนหลายรุ่น หลายวัยได้เรียนรู้ร่วมกันเพื่อจะได้มีบรรยากาศในการพัฒนาประเทศชาติที่รองรับความคิดเห็นที่หลากหลาย 

ขณะที่ประเทศไทยกำลังมีร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย มีการพัฒนาแผนด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชนประเทศไทย และป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน หรือ SLAPP อีกด้วย 

เป้าหมายสำคัญของประเทศไทย พยายามที่จะปกป้องสิทธิของประชาชนทุกคนและการพัฒนาที่ยั่งยืน เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนรวมถึงการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสังคมโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยในด้านการเงิน โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคโควิด-19 ไทยยืนยันที่จะรักษาระบบประกันสุขภาพ (บัตรทอง) ที่แข็งแกร่งต่อไป เนื่องจากสามารถช่วยเหลือผู้เปราะบางทางสุขภาพของผู้ป่วยในไทย นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงระบบประกันสุขภาพอย่างเท่าเทียม 

นอกจากนี้ ไทยยังมีความพยายามในการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เพื่อช่วยเหลือเด็กในประเทศที่ยังเป็นกลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น เพื่อให้เด็กสามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่มากขึ้น ส่งเสริมประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ทั้งชายและหญิง ไปจนถึงเยาวชน มีความพยายามในการออกกฎหมายการจดทะเบียนคู่ชีวิตของคู่รักเพศเดียวกันได้ ไปจนถึงการคุ้มครองคนทุกชาติพันธุ์ และแรงงานต่างชาติ มีการจัดทำนโยบายส่งเสริมผู้สูงอายุด้วยการแก้ไขพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2561 และกำหนดให้เรื่องผู้สูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ มีกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมให้คนพิการสามารถเข้าถึงสิทธิ เข้าถึงงานและมีอิสระในสังคม 

ได้มีการให้ความคุ้มครองสิทธิแรงงานและส่งเสริมความเข้าใจทางด้านวัฒนธรรม ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิแรงงาน มีพระราชบัญญัติส่งเสริมคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ สนับสนุนแรงงานข้ามชาติด้วยการทำ MOU ป้องกันการแสวงหาประโยชน์แรงงานข้ามชาติและการค้ามนุษย์ ได้มีการให้ความช่วยเหลือบุคคลไร้สัญชาติและให้เด็กไร้สัญชาติได้มาอยู่ในระบบการศึกษา ให้การเข้าถึงการจดทะเบียนการเกิดสำหรับคนไร้สัญชาติ  

ข้อเสนอแนะจากโลกถึงไทย 

ในช่วงที่เปิดพื้นที่ให้ประเทศต่างๆ กล่าวถึงการทำงานของประเทศไทยพร้อมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย  ทางเราได้รวบรวมข้อเสนอแนะของบางประเทศว่ามีความกังวลในประเด็นใดบ้าง  

สหราชอาณาจักร– ประเทศไทยจะทบทวนกฎหมายและข้อบังคับที่กำหนดข้อจำกัดที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสิทธิในเสรีภาพในการแสดงออก และมีมาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและสื่อจากการถูกคุกคาม การข่มขู่ สร้างพื้นที่ใช้สิทธิ เสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็นการชุมนุมการรวมกลุ่มกันอย่างเสรีทางออนไลน์และออฟไลน์ 

สหรัฐอเมริกา – ขอเสนอให้พิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยกิจการและองค์กรที่แสวงหาผลกำไร ที่จะเป็นการจำกัดพื้นที่ในการทำงานของ NGO แก้ไขปัญหาการจำกัดสิทธิเสรีภาพ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และโทษสำหรับมาตรา 112 เรื่องของการบังคับให้บุคคลสูญหายของนักกิจกรรม 7 คน 

เยอรมนี-แสดงความกังวลต่อการจำกัดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการรวมตัวกัน เสนอแนะให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นประมาท แก้ไขมาตรการที่จำกัดสิทธิในเสรีภาพการชุมนุม ตรวจสอบผลกระทบจากร่างพ.ร.บ. NGO ให้ถี่ถ้วน ให้สัตยาบันเป็นภาคี พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (OPCAT)  

สวิสเซอร์แลนด์- เสนอให้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน  และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี รวมถึงปรับแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 116  

ฟินแลนด์-เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  โดยเฉพาะการบังคับใช้ต่อเยาวชน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมถึงปฏิญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิเด็ก ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเพศ ทำให้การทรมานและการบังคับให้สูญหายมีความผิดตามกฎหมาย เพื่อคืนสิทธิให้กับเหยื่อ รับรองว่าประชาชนรวมถึงพนักงานบริการ (Sex Workers) จะเข้าถึงสิทธิในสุขภาพที่ได้มาตรฐานที่เพียงพอ 

ฝรั่งเศส-ได้แสดงข้อเสนอแนะเรื่องการปกป้องประชาชนจากการถูกบังคับบุคคลให้สูญหาย โทษประหารชีวิต การทรมาน ปกป้องสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก รวมถึงการให้แก้ไขมาตรา 112 แก้ไขร่าง พ.ร.บ. NGO พัฒนาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่าด้วยเรื่องความรุนแรงจากการเลือกปฏิบัติทางเพศ แก้ไขกฎหมายเพื่อหนทางสู่การสมรสเท่าเทียม (Same Sex Marriage)  

แคนาดา – ยุติการใช้กฎหมายที่เป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นการชุมนุม ม.112 ม.116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีกฎหมายป้องกันการทรมานและมีการนำผู้กระทำการทรมานมาลงโทษ ไม่จำกัดกิจกรรมของ NGO คุ้มครองนักปกป้องสิทธิตามมาตรฐานสากล 

ไอซ์แลนด์ – เสนอให้มีการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการทรมานและบังคับสูญหาย เพื่อเข้าถึงการดำเนินการเพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน รวมทั้งการปกป้องสิทธิของแรงงานข้ามชาติและบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ 

อินโดนีเซีย – ขอชื่นชมกระบวนการตั้งแต่รอบที่แล้วที่มีความคืบหน้า เช่น การให้การศึกษาเด็กแรงงานข้ามชาติ และการดำเนินงานเพื่อให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุ แนะนำการปกป้องสิทธิมนุษยชนภายใต้หลักการโควิด-19 โดยเฉพาะเด็กและคนพิการ 

อิรัก– สนับสนุนการดำเนินการตามหลักธุรกิจเพื่อสิทธิมนุษยชน และการให้การช่วยเหลือกับผู้ลี้ภัยและและแรงงานข้ามชาติ 

ไอร์แลนด์ – ระบุว่า ประเทศไทยมีความพยายามในการดำเนินการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เช่น การมีแผนว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน แต่มีความห่วงใยในเรื่องของเสรีภาพในการชุมนุม การคุกคามนักกิจกรรมทางการเมือง และเรื่องของการยกเลิกการใช้โทษประหารชั่วคราว 

อิสราเอล – ชื่นชมประเทศไทยในเรื่องความสัมพันธ์ในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเด็ก การแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ ข้อเสนอแนะ คือ มีนโยบายคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ มีมาตรการต่างๆในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มีความพิการในการทำงาน ยกเลิกการทำโทษเด็ก โดยมีการออกกฎหมายห้ามไม่ให้มีการทำโทษทางกายแก่เด็กไม่ว่าสภาพใดใดก็ตาม 

ญี่ปุ่น – ชื่นชมไทยเรื่องของการบังคับบุคคลให้สูญหาย ที่เตรียมมีการรับกฎหมายมาบังคับใช้ และมีข้อเสนอแนะเรื่องของการให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศ และปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน รวมทั้งสิทธิในการแสดงออกและเรื่องของการปกป้องสิทธิเด็กรวมทั้งเรื่องของการดูแลสุขภาพ 

อิตาลี – สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในเรื่องของการลดความยากจน การขจัดความยากจนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด พร้อมแสดงความยินดีกับประเทศไทยที่ได้เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนผ่านโครงการต่างๆและมีการขยายโครงการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาขั้นพื้นฐานและยังดำเนินต่อเนื่อง 

ลักเซมเบิร์ก – ข้อเสนอแนะให้คุ้มครองสิทธิในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ เสรีภาพ รวมถึงในเรื่องของการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายอาญา โดยเฉพาะเรื่องของการสมรสของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศนอกจากนั้นอยากให้ขจัดการเลือกปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามพันธะกรณีระหว่างประเทศโดยเฉพาะเรื่องของการพิจารณาให้สัตยาบันว่าด้วยผู้ลี้ภัย 

มาเลเซีย – ชื่นชมในการปกป้องสิทธิผู้หญิงและเด็ก ในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ชมเชยบทบาทของไทยที่มีต่ออาเซียน ในปฏิสัมพันธ์ต่างๆ อยากที่จะให้สนับสนุนระบบสุขภาพและเรื่องของการจัดการกับโรคระบาด 

เนเธอร์แลนด์ – ขอบคุณสำหรับการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ แต่อย่างไรก็ตามยังมีความสงสัยต่อการปรับใช้กฎหมายกับนักปกป้องสิทธิและสื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหายตัวของนักกิจกรรม กฎหมายสมรสเท่าเทียม สร้างกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ภาคประชาสังคมมีบทบาท มีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยองค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ และแนวปฏิบัติที่ดีรวมทั้งเสรีภาพในการชุมนุมและเสรีภาพในการแสดงออก 

นอร์เวย์ –  ขอให้เคารพสิทธิในการแสดงออก สิทธิในการชุมนุม สิทธิในการรวมตัว แม้ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองหรือขัดแย้งทางการเมือง แก้ไขกฎหมาย ม.112 เพื่อที่จะให้เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ปกป้องนักสิทธิมนุษยชนด้วยการให้ความมั่นใจว่ากฎหมาย NGO ฉบับใหม่จะไม่ขวางการทำงานของภาคประชาชน ให้สัตยาบันรับร่างกฎหมายป้องกันการซ้อมทรมาน และเร่งรัดกระบวนการเกี่ยวกับการออกกฎหมายว่าด้วยการทรมานต่อไป 

เปรู – เราทราบว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จด้านสิทธิมนุษยชนว่าด้วยแผนธุรกิจและสิทธิมนุษยชนแต่มีข้อเสนอแนะดังนี้ ขอให้ได้มีการรับรองอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันบุคคลสูญหายมีมาตรการต่างๆเพื่อที่จะให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่เป็นอิสระตามหลักการปารีส ดำเนินการตามมาตรการต่างๆเพื่อที่จะทำให้ผู้หญิงเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงในชนบท กลุ่มชาติพันธุ์ พิการหรือนับถือศาสนาที่เป็นส่วนน้อยในสังคม 

เกาหลีใต้ –  ยินดีที่ได้รับฟังเรื่องการปกป้องสิทธิเด็ก และแผนปฏิบัติการว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความคืบหน้า แต่มีข้อเสนอแนะเรื่องนโยบายเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการชุมนุม การรวมตัวรวมกลุ่ม ให้เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล มีกฎหมายห้ามมิให้มีการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ดำเนินงานเพื่อให้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เป็นอิสระตามหลักการปารีสต่อไป 

ออสเตรีย – สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การดำเนินคดีกับเด็กจะต้องมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา และให้มีการดำเนินการในคดีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง 

ภาคประชาสังคมจัดเวทีคู่ขนาน 

ขณะที่ในประเทศไทยมีการจัดเวทีคู่ขนาน โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มูลนิธิศักยภาพชุมชน ฮิวแมนไรท์วอช Article 19 FIDH  คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล มูลนิธิผสานวัฒนธรรม มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน Internews และ Manushya  

อังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ระบุว่า ประเทศในสหภาพยุโรปจำนวนมากมีข้อเสนอด้านสิทธิและเสรีภาพ หลังจากนี้จะเป็นความท้าทายกับทางการไทยว่าจะสามารถทำตามข้อเสนอของประเทศต่างๆ ได้หรือไม่ โดยเฉพาะการใช้ ม.112 ที่ทางการไทยอ้างว่าเป็นกฎหมายเฉพาะในประเทศ คนไทยต้องมาพูดคุยหารือกัน แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า คำมั่นหลักของประเทศไทยต่อสภาคณะรัฐมนตรีสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ ยืนยันว่าประเทศไทยจะต้องเคารพหลักนิติธรรม  

นอกจากนั้นยังมีประเด็นเรื่องบังคับสูญหาย บางประเทศก็พูดถึงเรื่องการสืบสวนสอบสวน จนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรม ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้พูดถึงนักกิจกรรมทางการเมือง 7 คนที่วันนี้ยังสูญหายอยู่ รวมถึงข้อเสนอแนะในเรื่องของการยกเลิกโทษประหารชีวิต ในเวที UPR ครั้งที่แล้ว ในประเด็นโทษประหารชีวิต ทางการไทยตอบว่า ประเทศไทยไม่ได้มีโทษประหารชีวิตมาเกือบ 10 ปีแล้ว หลังจากที่ตอบสหประชาชาติแล้ว ประมาณปี 2561 เราประหารนักโทษ 1 คน  เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายประเทศเรียกร้องให้ยกเลิก และให้สัตยาบันในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ ICCPR ด้วย 

มนทนา ดวงประภา ฝ่ายข้อมูลและนักกฎหมาย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า โจทย์ที่น่าติดตาม คือประเด็นที่ประเทศเม็กซิโก ออสเตรเลีย สวีเดน พูดถึงสิทธิในการแสดงออกทางเมือง ประเทศยูเครน พูดถึงการใช้กำลังของตำรวจ แสดงให้เห็นว่านานาชาติเขาจับจ้องอยู่ ขณะที่ทางผู้แทนไทยในรายงานกลับไม่ได้พูดถึงสิทธิเด็กในการแสดงความเห็น และการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา เช่น กรณีม็อบทะลุแก๊ส ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีเยาวชนถูกจับ 192 คน ถูกสั่งฟ้อง 61 คดี ซึ่งการละเมิดสิทธิเด็กเหล่านี้ไม่ถูกรายงานไปที่เจนีวา เพื่อให้เกิดการพัฒนาการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน 

นอกจากนั้นข้อมูลจากศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน พบว่า ในช่วง 1 ปี 7 เดือน มีผู้ถูกดำเนินคดีไปแล้ว 1,636 คดี มีมากสุดในคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใช้ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ผู้ถูกชุมนุมทางการเมืองถูกจับกุมมากสุด โดยเฉพาะมาตรา 112 มีถูกดำเนินคดีไปแล้ว 159 คดี ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงมีความห่วงใยต่อการบังคับใช้กฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพมากขึ้น 

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า เห็นว่ามีหลายประเด็นที่ตัวแทนไทยยังตอบได้ไม่ชัดเจนนัก และตั้งข้อสังเกตว่าประเด็นเรื่องโทษประหารชีวิตที่แอมเนสตี้พยายามผลักดันอยู่นั้น หลายประเทศมีข้อเสนอถึงไทยว่าให้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต หรือพักการใช้โทษประหารชีวิต ซึ่งเรียกร้องกันมาตั้งแต่ UPR รอบที่ 1 และ 2 แล้วด้วย ก็ต้องรอดูว่ารอบนี้ทางการไทยจะมีท่าทางในประเด็นนี้อย่างไร 

ด้านแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นนแล ได้ส่งรายงานและข้อเสนอแนะในเวที UPR รอบที่ 3 ของไทยด้วย เช่นกัน โดยเน้นในประเด็นโทษประหารชีวิต การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาชยที่บังคับใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎอัยการศึก การประกาศใช้กฎหมายเพื่อเอาผิดทางอาญากับการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย และการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยให้มีเนื้อหาตามพันธกรณีของสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้อง และดําเนินการเพื่อให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน ให้ยกเลิกการดําเนินคดีอาญาโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อบุคคลที่ใช้สิทธิมนุษยชนของตนเอง รวมทั้งสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ รวมถึงการจัดทําและออกกฎหมายเพื่อป้องกันกรณีการดําเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์หรือการฟ้องปิดปาก ส่วนในประเด็นผู้ลี้ภัย เรียกร้องให้สถานะทางกฎหมายแก่ผู้ลี้ภัย รวมถึงกําหนดนิยามของผู้ลี้ภัยในกลไกการคัดกรองให้สอดคล้องกับ กฎหมายระหว่างประเทศ อนุญาตให้มีกระบวนการประเมินผลเป็นรายบุคคล และให้มีสิทธิการอุทธรณ์ได้ด้วย 

ขอให้ไทยรับข้อเสนอให้มากที่สุด

ศาสตราจารย์กิตติคุณ วิทิต มันตาภรณ์ ขอเรียกร้องให้รัฐไทยรับข้อเสนอจากเพื่อนมิตรทั้งหลายให้มากที่สุด มองว่าข้อเสนอแนะของประเทศต่างๆ เป็นสิ่งที่ไทยต้องปฏิรูปให้ดีขึ้น แม้จะมีสิทธิรับหรือไม่รับ แต่แสดงให้เห็นว่าประชาคมโลกติดตามและให้ความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย 

พร้อมแนะนำไทยเชิญผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติในประเด็นการทรมาน การวิสามัญฆาตกรรม และคณะทำงานเกี่ยวกับการบังคับบุคลให้สูญหาย ให้มาเยี่ยมประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อที่จะให้ข้อเสนอแนะต่อมาตรการที่ประเทศไทยควรจะดำเนินการในประเด็นต่างๆ ข้างต้น