ไม่พบผลการค้นหา
ตำรวจเผยความคืบหน้ากรณีชาวโรฮิงญา 7 รายลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมออกหมายจับ 2 ผู้ต้องหา เชื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพาบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักร

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมมราช ควบคุมตัวชาวโรฮิงญาจำนวน 7 ราย ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ภายในตู้โดยสารรถไฟสายกรุงเทพฯ-สุไหงโกลก หวังใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านข้ามไปยังประเทศที่ 3

พ.ต.ท.สมศักดิ์ แก้วแสน รองผู้กำกับการสอบสวนสภ.ทุ่งสง ทำการสอบสวนปากคำพบว่า ชาวโรฮิงญาทั้ง 7 ราย แบ่งเป็นผู้ชาย 5 ราย ผู้หญิง 2 ราย อายุระหว่าง 13 - 15 ปี ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศบังคลาเทศ และมีญาติอยู่ในประเทศมาเลเซีย

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติม กระทั่ง พ.ต.ท.สมศักดิ์ ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 2 รายคือ ร้อยตำรวจตรี ชวนศูนย์อุ้ม ตำรวจรถไฟประจำจังหวัดนครปฐม และอนุวัต แก้วมณี เพื่อมาดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา “ร่วมกันพาบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร หรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” 

และเมื่อคืนที่ผ่านมา (19 ม.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลัง และหมายจับเลขที่ 26/2561 และ 27 /2561 ไปควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมเตรียมส่งตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาที่สภ.ทุ่งสง โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 จะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ (21 ม.ค.)

ขณะที่ พล.ต.ต. วันไชย เอกพรพิญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้สรุปคดีเป็นการนำพาเข้ามาราชอาณาจักรไทย และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ยังไม่เข้าข่ายคดีค้ามนุษย์ เนื่องจากการสืบสวนไม่พบความเชื่อมโยงกับขบวนการค้ามนุษย์ ทำให้ขัดแย้งกับชุดพนักงานสอบสวนที่มองว่า คดีดังกล่าวเข้าข่ายการค้ามนุษย์ เพราะโรฮิงญา 7 คนอายุไม่ถึง 18 ปี

อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวต้องมีการขยายผลต่อ โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยกำชับให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย