ไม่พบผลการค้นหา
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า เมียนมาใช้กฎหมายกดขี่ชาวโรฮิงญา พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติแบนการขายอาวุธให้เมียนมา เพื่อตอบโต้อาชญากรรมต่อมนุษยชาติในรัฐยะไข่

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรสากลด้านสิทธิมนุษยชนเปิดเผยรายงานการวิจัยช่วง 2 ปีในรัฐยะไข่ของเมียนมาที่ระบุว่า เมียนมาใช้กฎหมายกดขี่ชาวโรฮิงญา เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในรูปแบบการแบ่งแยกเชื้อชาติ โดยกักขังพวกเขาในพื้นที่ ไม่สามารถออกจากหมู่บ้านของตัวเองได้เหมือนกับเป็นคุกกลางแจ้ง ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา สาธารณสุข และถูกตัดสิทธิขั้นพื้นฐานทั้งหมด

อันยา ไนสตาท ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการวิจัยของแอมเนสตี้ระบุว่า การโจมตีครั้งใหญ่โดยกองกำลังกู้ชาติโรฮิงญาอาระกันเมื่อเดือนตุลาคมปี 2016 ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมให้กับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติของเมียนมาได้ จึงเรียกร้องให้เมียนมาแก้ไขกฎหมายที่เลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิม โดยเฉพาะชาวโรฮิงญา เยียวยาผู้เสียหาย พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติแบนการขายอาวุธ ความร่วมมือและความช่วยเหลือทางทหารกับเมียนมา

ด้านลอรา เฮก์ นักวิจัยของแอมเนสตี้ที่ลงพื้นที่รัฐยะไข่ระบุว่า ชาวโรฮิงญาจำนวนมากยังต้องการกลับบ้านที่รัฐยะไข่ แต่สถานการณ์ในพื้นที่ยังไม่มีอะไรดีขึ้น โดยเธอระบุว่า ตอนที่เริ่มงานวิจัยเป็นช่วงที่ทุกคน ทั้งนานาชาติและคนในพื้นที่มีความหวังว่า เมื่อพรรคเอ็นแอลดีของนางอองซาน ซูจีชนะการเลือกตั้งแล้ว สถานการณ์ในรัฐยะไข่อาจดีขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ในรัฐยะไข่กลับเลวร้ายลง โดยการกดขี่เชิงโครงสร้างต่อชาวโรฮิงญาในช่วงหลังมานี้ ทำให้ชาวโรฮิงญารู้สึกสิ้นหวังและไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ด้านนางอองซาน ซูจีเปิดเผยว่า เธอจะหารือกับบังกลาเทศและหวังว่า จะมีข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับการส่งผู้ลี้ภัยที่หนีจากรัฐยะไข่ไปบังกลาเทศ กลับเมียนมาอย่างปลอดภัย