ไม่พบผลการค้นหา
PwC เปิดผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโลกและการฉ้อโกงปี 61 พบทวีปแอฟริกา อเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา มีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจสูงสุด ขณะที่การยักยอกทรัพย์สิน ภัยไซเบอร์ การฉ้อโกงผู้บริโภค เป็นพฤติกรรมสุดแสบที่สร้างความเสียหายให้องค์กรมากที่สุด

ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ หรือ PwC บริษัทให้คำปรึกษาธุรกิจและบัญชี เปิดเผยผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโลกและการฉ้อโกงประจำปี 2561 หรือ The Global Economic Crime and Fraud Survey 2018 ซึ่งจัดทำขึ้นทุก 2 ปี 

สำหรับการสำรวจในปีนี้ ได้สำรวจความเห็นจากผู้บริหารระดับสูงและบริษัทจดทะเบียนกว่า 7,200 ราย ใน 123 ประเทศทั่วโลก พบว่า ร้อยละ 49 ของผู้บริหารระบุว่า บริษัทของพวกเขาประสบกับปัญหาการฉ้อโกงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 36 จากการสำรวจเมื่อปี 2559 โดยทวีปที่มีรายงานการก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจสูงที่สุด ได้แก่ แอฟริกา (ร้อยละ 62 ปีนี้เทียบกับร้อยละ 57 ในปี 2559) อเมริกาเหนือ (ร้อยละ 54 ปีนี้เทียบกับร้อยละ 37 ในปี 2559) และละตินอเมริกา (ร้อยละ 53 ปีนี้เทียบกับร้อยละ 28 ในปี 2559) 

ทั้งนี้ ปัญหาการยักยอกทรัพย์สิน (ร้อยละ 45) ยังคงเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่พบมากที่สุดขององค์กรในช่วง 24 เดือนที่ผ่านมา ตามด้วย อาชญากรรมทางไซเบอร์ (ร้อยละ 31) การฉ้อโกงผู้บริโภค (ร้อยละ 29) และการประพฤติผิดทางธุรกิจ (ร้อยละ 28) 

ผลสำรวจปีนี้ ยังแสดงให้เห็นว่า สัดส่วนของการก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการกระทำของคนภายในองค์กร (Internal actors) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากการสำรวจเมื่อคราวก่อน มาเป็นร้อยละ 52 ในปีนี้) ขณะที่สัดส่วนของการก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากผู้บริหารระดับสูง ก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด (จากร้อยละ 16 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 24 ในปี 2561) โดยมีระดับแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก 

สำหรับประเทศที่อาชญากรรมทางเศรษฐกิจเกิดจากการกระทำของคนภายนอก (External actors) มากที่สุด ได้แก่ ออสเตรเลีย (ร้อยละ 64) สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 55) แคนาดา (ร้อยละ 58) อาร์เจนตินา (ร้อยละ 44) และสหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 48) 

นางสาวคริสติน ริเวร่า หัวหน้าสายงาน Forensics ประจำ PwC โกลบอล กล่าวว่า ผลสำรวจในปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการที่องค์กรต่างมีความตระหนักและเข้าใจถึงความสำคัญของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งประเภทของการฉ้อโกงและผู้กระทำผิด บทบาทของเทคโนโลยี ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการฉ้อโกง และต้นทุนความเสียหายที่ภาคธุรกิจต้องแบกรับ หากเกิดภัยคุกคามขึ้น 


"แม้เราจะไม่สามารถเปรียบเทียบจำนวนของการเกิดอาชญากรรมที่ถูกรายงานกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจริงได้ แต่ผลสำรวจแสดงให้เราเห็นชัดเจนว่า วันนี้ความเข้าใจเกี่ยวกับการฉ้อโกงมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นของภัยไซเบอร์ ที่ผู้ถูกสำรวจมีความเข้าใจมากขึ้น ทั้งในแง่ของการสืบสวน การวิเคราะห์ และการลงทุนเพื่อให้มีการควบคุมและป้องกันภัยคุกคามที่มากขึ้น"

อย่างไรก็ดี แม้ว่าความเข้าใจและการรายงานการเกิดอาชญากรรมทางเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้บริหารมากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 51 ยังคงบอกว่าไม่รู้ หรือไม่เคยรู้เลยว่า องค์กรของตนเคยประสบกับปัญหาการฉ้อโกงหรือไม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า หลายองค์กรยังคงมีจุดบอดในเรื่องนี้อยู่


ภัยไซเบอร์.jpg

3 อันดับอาชญากรรมที่ถูกรายงานมากที่สุด

• อาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ถูกรายงานมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ การยักยอกทรัพย์สิน (ร้อยละ 45) ภัยไซเบอร์ (ร้อยละ 31) และการฉ้อโกงผู้บริโภค (ร้อยละ 29)

• 18 ประเทศที่อาชญากรรมไซเบอร์สร้างความยุ่งยากต่อการประกอบธุรกิจ สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก (ร้อยละ15) ได้แก่ ไอร์แลนด์ (ร้อยละ 39) เบลเยียม (ร้อยละ 38) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 31) แคนาดา (ร้อยละ 29) สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 25) และสหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 22) 

• อาชญากรรมทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบร้ายแรงใน 3 อันดับแรก ได้แก่ ขวัญและกำลังใจของพนักงาน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทางธุรกิจ และชื่อเสียงและความแข็งแกร่งของแบรนด์

• ทวีปที่ประสบปัญหาในเรื่องของการฉ้อโกงทางการเงินและบัตรเครดิตสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก (ที่ร้อยละ 29) ได้แก่ แอฟริกา (ร้อยละ 36) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 36) และอเมริกาเหนือ (ร้อยละ 32) 

• อาชญากรรมทางไซเบอร์ คาดว่าจะเป็นภัยที่สร้างความยุ่งยากในการดำเนินธุรกิจมากที่สุดใน 2 ปีข้างหน้า โดยผู้บริหารมองว่า น่าจะเป็นภัยที่มีการเกิดและส่งผลกระทบต่อองค์กรมากกว่าภัยอื่นๆ ถึง 2 เท่า นอกจากนี้ ยังสังเกตได้จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้บริหารที่รายงานว่า ตนมีแผนป้องกันและตรวจจับภัยคุกคามไซเบอร์รองรับและพร้อมใช้งาน (ร้อยละ 59 ปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 37 ในปี 2559)

ต้นทุนจากการฉ้อโกงและการป้องกัน

รายงานฉบับนี้ ยังระบุว่า ด้วยความตระหนักและรูปแบบของการฉ้อโกงและการก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น ส่งผลให้ระดับของการลงทุนเพื่อรับมือกับความเสียหายทางการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยผู้บริหารมากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 51 มีแผนที่จะยังคงรักษาระดับการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเกิดอาชญากรรม ขณะที่อีกร้อยละ 44 มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนมากขึ้น 

ทั้งนี้ ผู้บริหารที่ถูกสำรวจเกือบ 2 ใน 3 หรือร้อยละ 64 กล่าวว่า ความเสียหายจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นที่องค์กรของตนเคยประสบ มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ร้อยละ 16 บอกว่า มูลค่าความเสียหายที่เคยประสบอยู่ระหว่าง 1 -50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และร้อยละ 42 ชี้ว่า บริษัทของพวกเขาได้เพิ่มงบลงทุนเพื่อใช้ในการจัดการกับปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

นาย ดิดิเยร์ ลาวีออง หัวหน้าสายงาน Forensic Services ของ PwC สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เงินทุนที่ถูกใช้ไปในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลทวีคูณต่อความรู้ ความเข้าใจในการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามด้วยเช่นกัน หรือพูดง่ายๆ ว่า ผลกระทบจากการฉ้อโกงกลายเป็นต้นทุนที่ธุรกิจยอมรับไม่ได้อีกต่อไป

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังระบุว่า ร้อยละ 68 ของผู้กระทำผิดจากภายนอก (คิดเป็นร้อยละ 40 ของการฉ้อโกง) เป็นกลุ่มที่เรียกว่า Frenemies หรือ กลุ่มคนที่ทำตัวเป็นมิตร แต่แท้จริงแล้วเป็นศัตรูขององค์กร หรือ ศัตรูที่ปลอมเป็นเพื่อน โดยอาจจะเป็นคนในองค์กรที่ทำงานใกล้ตัวด้วย หรือ ตัวแทน ผู้ให้บริการ ผู้ขาย และแม้กระทั่งลูกค้า


"วันนี้มิจฉาชีพมีกลยุทธ์ในการฉ้อโกงหลากหลายรูปแบบมากขึ้น และวิธีการของพวกเขาก็ซับซ้อนมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันถึงกับมีการจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่แพร่หลายเพื่อใช้ในการฉวยโอกาส เหมือนเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดที่คุณเองก็ไม่รู้จักหน้าตามาก่อน" นาย ลาวีออง กล่าว


ผู้บริหารที่ถูกสำรวจยังยอมรับด้วยว่า ต้นทุนค่าใช้จ่ายรองในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนในการตรวจสอบและการแทรกแซงการฉ้อโกง ล้วนทำให้ต้นทุนโดยรวมขององค์กรสูงขึ้น โดยร้อยละ 17 บอกว่า ใช้งบเท่ากับจำนวนเงินที่พวกเขาสูญเสียไปในการตรวจสอบและแทรกแซง ในขณะที่ ร้อยละ 41 บอกว่าใช้งบไปอย่างน้อย 2 เท่าของจำนวนเงินที่พวกเขาสูญเสียไปในการตรวจสอบภัยไซเบอร์และการแทรกแซงการกระทำผิดอื่นๆ 

การต่อสู้กับการฉ้อโกง

ด้วยพลังของสาธารณชนที่ต่อต้านและไม่อดกลั้นต่อการประพฤติมิชอบใดๆ ทั้งในระดับองค์กรหรือตัวบุคคล นอกเหนือไปจากการมีมาตรการควบคุมและตรวจสอบภายในที่เข้มข้นมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการริเริ่มให้มีการป้องกันการฉ้อโกงและทุจริตผ่านรูปแบบโครงการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรของผู้บริหารมากขึ้น (เช่น การให้เบาะแสทั้งจากภายใน หรือภายนอกองค์กร หรือบริการสายด่วน) ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจจับการฉ้อโกงได้ถึงร้อยละ 27  

ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า ผู้บริหารมีการนำเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และการวิเคราะห์ขั้นสูง มาใช้ในการต่อสู้และตรวจสอบการฉ้อโกงมากขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทในตลาดเกิดใหม่กำลังลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง ในอัตราที่รวดเร็วกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยร้อยละ 27 ของบริษัทในตลาดกำลังพัฒนาใช้ หรือมีแผนที่จะใช้เอไอในการรับมือกับการฉ้อโกง เปรียบเทียบกับร้อยละ 22 ในตลาดที่พัฒนาแล้ว 


ความร่วมมือ.jpg

แม้ว่าระดับของความเข้าใจและการรายงานการกระทำผิดจะมีมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีจุดบอดปรากฏให้เห็น เช่น ร้อยละ 46 ของผู้บริหารทั่วโลกบอกว่า องค์กรของตนยังไม่ได้มีการทำประเมินความเสี่ยงด้านการฉ้อโกง หรืออาชญากรรมทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด นอกจากนี้ เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารที่ระบุว่า องค์กรของตนมีโครงการส่งเสริมจริยธรรมทางธุรกิจและการปฏิบัติตามอย่างเป็นทางการก็ปรับตัวลดลงจากร้อยละ 82 เป็นร้อยละ 77 ในปีนี้


"การฉ้อโกง ถือเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมประกอบแรงจูงใจที่มีความซับซ้อน โดยที่เครื่องจักรสามารถจัดการและตรวจจับได้บางส่วนเท่านั้น" นางสาว ริเวร่า กล่าว


ขณะเดียวกัน แม้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการติดตาม และตรวจจับการก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสกัดกั้นไม่ให้เกิดเหตุการณ์ฉ้อโกงในระยะสุดท้าย แต่เชื่อว่า การคิดริเริ่มที่มาจากคนน่าจะส่งผลให้การแก้ปัญหาในระยะยาวมีประสิทธิภาพมากกว่าการลงทุนในเทคโนโลยีอย่างหนึ่งอย่างใด

"จะเห็นได้ว่า สัดส่วนของผู้ก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นบุคคลภายนอก มักจะมาจากบุคคลที่ 3 ที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น ตัวแทน ผู้ขาย ผู้ให้บริการ ลูกค้า และอื่นๆ อีกมาก ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ทุกคนในองค์กรต้องมีความระมัดระวังและรอบคอบในเรื่องของการให้สิทธิในการเข้าถึงระบบและกระบวนการต่างๆ ของบริษัท" นางสาว ริเวร่า กล่าวทิ้งท้าย