นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีผลการศึกษาในประเทศจีน ที่พบไวรัสที่เป็นสาเหตุของโควิด-19 ในน้ำอสุจิของผู้ชายที่มีการติดเชื้อดังกล่าว รวมทั้งผู้ป่วยฟื้นตัวจากการรักษาหายแล้ว นั้น กรมควบคุมโรค ขอให้ข้อมูลว่า จากข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าผลการศึกษาของประเทศจีนดังกล่าว ยังมีความไม่ชัดเจนของผลการวิจัยว่าสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ข้อมูลนี้เป็นการศึกษาเบื้องต้นโดยใช้ตัวอย่างขนาดเล็ก ซึ่งต้องศึกษาข้อมูลให้มากขึ้นกว่านี้ อีกทั้งไม่ได้บอกว่าเป็นเชื้อไวรัสที่มีชีวิตอยู่ (viable virus) หรือไม่
ขณะเดียวกันการศึกษาจากแหล่งข้อมูลอื่น ก็ยังไม่พบเชื้อก่อโรคโควิด-19 ในน้ำอสุจิด้วย และที่ผ่านมาไวรัสสายพันธุ์อื่นในกลุ่มโคโรนาก็ไม่มีรายงานว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีผลยืนยันว่าพบเชื้อโควิด-19 ในน้ำอสุจิ รวมถึงการติดโรคผ่านทางน้ำอสุจิ
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากต้องการมีเพศสัมพันธ์ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แนะนำให้ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ และเมื่อพิจารณาถึงโอกาสการแพร่กระจายเชื้อตามปกติที่ผ่านทางฝอยละอองและการสัมผัสของเชื้อนี้ในคนที่เพิ่งหายป่วยจากโควิด-19 ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์และการสัมผัสใกล้ชิดกันเป็นเวลา 30 วันนับจากที่เริ่มแสดงอาการ เนื่องจากจะมีความเสี่ยงจากการกอดหรือจูบได้ หรือใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งถือเป็นการป้องกันที่ดี นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย
นพ.วีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับเชื้อก่อโรคโควิด-19 มีช่องทางติดต่อหลักคือ ฝอยละอองจากการไอ จาม หรือการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยตรง แต่สามารถป้องกันตัวเองและป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคโควิด 19 แพร่กระจายสู่คนอื่นได้ คือ 1.ล้างมือบ่อยๆ เป็นเวลา 20 วินาทีด้วยสบู่และน้ำหรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ 2.หลีกเลี่ยงการพบปะใกล้ชิด (รักษาระยะห่าง 1-2 เมตร) โดยเฉพาะกับคนที่มีอาการป่วย 3.หากรู้สึกไม่สบาย ควรอยู่บ้านและกักตัวเองให้ห่างจากคนอื่นในบ้าน และ 4.ใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้านหรืออยู่ในที่ชุมชน
นอกจากนี้ ทั้งการติดเชื้อเอชไอวีและการติดเชื้อโควิด-19 ต้องไม่มีการตีตราและเลือกปฏิบัติ หากเราเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกันอย่างถูกวิธี ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย และใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน กรมควบคุมโรค โทร.1422
ภาพ : pixabay.com /geralt