นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์ถึงกรณีที่ ราคาสับปะรดตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ราคาหน้าสวนเหลือเพียงกิโลกรัมละ 1-2 บาทเท่านั้น ทำให้เกษตรกรบางจังหวัดต้องนำมากองแจกจ่ายให้กับผู้บริโภคเพื่อประชดการขาดความเหลียวแลของรัฐบาลนั้น
ในแถลงการณ์ระบุว่า ปรากฎการณ์ดังกล่าวเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงผลงานของรัฐบาลยุค คสช. ที่เด่นชัดยิ่ง ไม่เฉพาะสับปะรดเท่านั้นที่ราคาตกต่ำแต่พืชผลทางการเกษตรหลายชนิดก็ราคาตกต่ำไม่ต่างกัน เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว ข้าวโพด มะนาว ฯลฯ ถึงแม้นายกรัฐมนตรี จะยืนยันกับเกษตรกรในยามลงพื้นที่พบปะชาวบ้านว่าประเทศไทยเป็น “ครัวของโลก” แต่ก็เป็นเพียงลมปากของนักการเมืองที่ไร้ความสามารถและไร้ความรับผิดชอบเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ รัฐบาลมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการปัญหานี้มากมาย และสามารถล่วงรู้ปริมาณและสถานการณ์ของผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ ล่วงหน้าแล้วก็ตาม เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ แต่กลับไม่สามารถจัดการปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ ตกต่ำได้
ปัญหาสับปะรดและสินค้าเกษตรต่าง ๆ ตกต่ำเป็นความทุกข์ระทมของเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งนายกฯควรที่จะสั่งการให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ เข้าไปช่วยดูแลแก้ไขให้เป็นการเร่งด่วน แต่นายกฯกลับโบ๊ยปัญหาและหนีไปอังกฤษและฝรั่งเศษเพื่อเซ็นสัญญาซื้อดาวเทียมธีออส 2 หรืออาจจะพ่วงด้วยการซื้อหาอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย โดยไม่สนใจเลยว่าปัญหาของเกษตรกรจะล้มหายตายจากไปอย่างไรก็ช่าง
ในแถลงการณ์ระบุอีกว่า หากนายกรัฐมนตรี อยากจะซื้อดาวเทียมหรือซื้ออาวุธในคราวนี้ ก็ควรนำผลผลิตทางการเกษตรไปเจรจาซื้อขายแบบบาร์เตอร์เทรด (G to G) แทน มากกว่าที่จะหอบเอาเงินของชาติไปซื้อเขาเป็นอย่างเดียว
นอกจากนี้ พรรคการเมืองทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า ที่ออกมาสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ ควรที่จะออกมาแสดงความสามารถในการแก้ไขปัญหาสับปะรดและผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ ตกต่ำว่าจะช่วยเกษตรกรได้อย่างไรด้วย ไม่ใช่จะแสดงความสามารถเพียงแค่เก่งแต่การดูดเพียงอย่างเดียว