ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ ย้ำพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้ตั้งพรรค วอนอย่ามองว่า รมต. เคลื่อนไหวกับกลุ่มสามมิตรเป็นเรื่องเสียเปรียบทางการเมือง ยืนยันไม่ได้เข้าข้าง 'พลังประชารัฐ'

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยยืนหนังสือถึง กกต.ให้ตรวจสอบกรณีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร ว่า จะเอาเปรียบเรื่องอะไร ซึ่งพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้จัดตั้ง เพียงแต่ไปจองชื่อกับ กกต.เท่านั้น ซึ่งการพูดคุยต่างๆ วันนี้ ตนติดว่ามีอิสระเสรีพอสมควร ไม่ว่าใครก็ตาม หรือจะให้นักการเมืองออกมาพูดเพียงฝ่ายเดียว แต่ถ้าไม่ทำให้บ้านเมืองเกิดความไม่สงบ เราก็ผ่อนผันให้อยู่แล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ขออย่ามองว่าเป็นเรื่องเสียเปรียบหรือไม่เสียเปรียบ เพราะทั้งหมดประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เพราะที่ผ่านมามีการพูดว่าไทยนิยมและประชารัฐทำให้ได้เปรียบ ซึ่งทั้งสองโครงนี้ เกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งไม่ใช้โครงการที่ทำขึ้นเพื่อมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง แต่เป็นโครงการที่นำไปแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่ ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา และในปีนี้มาถึงขั้นตอน ที่ต้องลงถึงระดับหมู่ ซึ่งประชาชนเป็นผู้กำหนดการดำเนินงาน ไม่ใช่รัฐบาลไปให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนรัก ซึ่งชาวบ้านต้องช่วยกันคิดให้ห่วงโซ่เพื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น 

ปัดเข้าข้าง 'พลังประชารัฐ' ย้ำเป็นสิทธิ รมต.พูดคุยนักการเมือง

นายกรัฐมนตรี เผยว่า ตนไม่ต้องพูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังไม่ทราบว่าพรรคใดเป็นอย่างไร เพราะมี 79 พรรค ที่มาพูดคุยเมื่อสัปดาห์ก่อน และบางพรรค กกต.ก็ยังไม่ได้รับรอง เพราะมีเพียงแค่การจองชื่อและขอจดทะเบียนเท่านั้น โดยต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะแล้วเสร็จ พร้อมยืนยัน ไม่เคยเข้าข้างหรือลำเอียง ให้กับพรรคพลังประชารัฐ และขอชี้แจงว่าพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้จัดตั้งเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแต่ชื่อ และตนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคนี้ 

ส่วนที่มีการอ้างชื่อบุคคลรัฐบาลไปเกี่ยวข้องกับพรรคนี้ ก็เป็นเพียงการกล่าวเฉยๆ ส่วนตัวคงตอบอะไรไม่ได้ ขอให้ไปถามพูดที่ออกมากล่าวอ้างเอง ส่วนที่ไปพูดคุยกับคนในรัฐบาลถึงการตั้งพรรคพลังประชารัฐนั้น นายกรัฐมนตรี ถามสื่อกลับว่า พวกคนกลุ่มนั้นไปพูดคุยกับบุคคลทั่วไปได้หรือไม่ ซึ่งตนก็พูดคุยได้ และตนเจอนักการเมืองก็พูดคุยได้ แล้วผิดอย่างไร ที่ผ่านมาพูดคุยกับทุกพรรค เมื่อเจอก็ทักทาย และยกมือไหว้ อดีตนายกรัฐมนตรีทุกคน เพราะเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน วันนี้อยู่กันเช่นนี้ บ้านเมืองจะได้สงบเรียบร้อย

ส่วนบรรยาศการเลือกตั้ง คนไทยจะสามัคคีเหมือนเหตุการณ์ในถ้ำหลวงได้หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าสถานการณ์จะต้องดีขึ้น ซึ่งทุกคนจะต้องตั้งความหวังเอาไว้ เพราะอยู่ที่แรงศรัทธาของพวกเรา หากทุกคนเชื่อมั่นและสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกัน ในวันนี้ ก็จะนำไปสู่รัฐบาลที่ดีในวันหน้า ดังนั้นการไปช่วยทีมหมูป่า จึงอยู่ที่แรงศรัธราของพวกเรา หากทุกคนมั่นใจงว่าจะปลอดภัย ก็จะต้องปลอดภัย และหากว่าเราเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถช่วยได้ ก็จะต้องช่วยให้ได้ เว้นแต่มีเหตุการณ์สุดวิสัยขึ้นมาจริงๆ ซึ่งเหตุการณ์ทางการเมืองก็เช่นกัน โดยทั้งนักการเมืองเก่าและใหม่มาร่วมมือกัน ไม่ว่าพรรคใดจะเกิดขึ้น อยู่ที่ประชาชนจะเป็นผู้เลือกมา ก็ทำให้หลายคนมีสิทธิที่จะได้รับการเลือกตั้งมา หากยังไม่มีคดีหรือกระทำผิดกฏหมาย ก็ได้รับการเลือกตั้ง และเมื่อเลือกตั้งมาแล้ว พร้อมที่จะพัฒนาบ้านเมืองขึ้นมาใหม่หรือไม่นั้น ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ได้รับการเลือกตั้งอยู่ดี ทำให้ไม่ว่าพรรคใดก็มีความเท่ากันหมด แต่ละพรรคก็ออกมาพูดอยู่กันทุกวัน ซึ่งตนก็ฟังอยู่ จึงขออย่านำมาโยงกัน เพราะตนต้องอยู่ตรงกลางอย่างชัดเจน

ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่าไม่ทราบว่าการยื่นเรื่องของพรรคเพื่อไทยให้ตรวจสอบพรรคพลังประชารัฐจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่