ไม่พบผลการค้นหา
เมียนมาสั่งห้ามผู้แทนด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเดินทางเข้าประเทศ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ชาวโรฮิงญา โดยให้เหตุผลว่า เธอไม่เป็นกลางและไม่ยุติธรรม

รัฐบาลเมียนมาออกคำสั่งห้ามนางอี ยางฮี ผู้เขียนรายงานพิเศษของสหประชาชาติ ด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาเดินทางเข้าประเทศ ตลอดระยะเวลาที่เธอดำรงตำแหน่ง พร้อมปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน โดยคำสั่งนี้ มีขึ้นก่อนที่นางอีจะเดินทางเยือนเมียนมาในเดือนมกราคม 2018 เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในหลายพื้นที่ รวมทั้งการใช้ความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่

โฆษกรัฐบาลเมียนมากล่าวว่า นางอีทำหน้าที่อย่างไม่เป็นกลางและไม่ยุติธรรม เมียนมาจึงไม่ไว้วางใจในตัวเธอ โดยการประกาศห้ามนางอีเดินทางเข้าเมียนมาในครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่สื่อของรัฐบาลเมียนมารายงานการค้นพบหลุมฝังศพหมู่ พร้อมโครงกระดูก 10 ร่าง ทางตอนเหนือของเมืองซิตตเวในรัฐยะไข่ ซึ่งทางกองทัพเมียนมายืนยันว่าจะเร่งสืบสวนเรื่องนี้

000_QT3RX.jpg

อี ยางฮี ผู้เขียนรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมา

ขณะที่เว็บไซต์ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติรายงานว่า รัฐบาลเมียนมาได้แจ้งว่าไม่อนุญาตให้นางอี ยางฮี ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมาเดินทางเข้าประเทศ พร้อมทั้งจะไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ตลอดระยะเวลาที่เธอดำรงตำแหน่ง มาตรการของรัฐบาลเมียนมาทำให้ผู้แทนของยูเอ็นจะไม่สามารถเข้าไปในเมียนมาตามหมายในเดือนมกราคมปีหน้า ทั้งนี้เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนทั่วประเทศ รวมทั้งของรัฐยะไข่ที่เมียนมาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิชาวโรฮิงญา 

ด้านนางอี ยางฮี ออกมาแสดงความคาดหวังว่ารัฐบาลเมียนมาจะพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ เธอระบุว่า การที่เมียนมาประกาศจะไม่ร่วมมือกับเธอตลอดระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวเกิดขึ้นในรัฐยะไข่และทั่วเมียนมา พร้อมกันนั้นระบุว่า เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลเมียนมาเพิ่งจะแจ้งกับยูเอ็นว่าพร้อมจะร่วมมือกับยูเอ็นต่อไปโดยอ้างถึงความสัมพันธ์กับเธอในฐานะผู้รายงานพิเศษ แต่ในหนนี้รัฐบาลเมียนมาอ้างว่าที่ห้ามเพราะเนื้อหารายงานล่าสุดของเธอที่ออกมาหลังจากการเยือนเมียนมาเมื่อเดือนกรกฎาคม

ส่วนกรณีรัฐบาลเมียนมากล่าวว่าเธอไม่เป็นกลางและไม่ยุติธรรม อี ยางฮีระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเมียนมาปฏิเสธมาตลอดอ้างว่าไม่มีการละเมิดสิทธิเกิดขึ้นในรัฐยะไข่หรือในประเทศ และไม่มีอะไรจะปิดบัง แต่การไม่ให้ความร่วมมือและข้อมูลที่ได้จากการไปเยือนเมื่อเดือนกรกฎาคมกลับขัดแย้งกับสิ่งที่เมียนมากล่าว

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวในรายงานด้วยว่าที่ผ่านมาเมียนมาให้ความร่วมมือด้วยดีและการทำงานร่วมกันเป็นไปด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน แม้จะไม่อนุญาตให้ไปทุกแห่งในเมียนมาแต่มักเรื่องของความปลอดภัยมากกว่า

การประกาศห้ามผู้แทนยูเอ็นเดินทางเข้าเมียนมาในครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่สื่อของรัฐบาลเมียนมารายงานการค้นพบหลุมฝังศพหมู่พร้อมโครงกระดูก 10 ร่างที่ทางตอนเหนือของเมืองซิตตเวในรัฐยะไข่

โรฮิงญา

เฟซบุ๊กของสำนักงานผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมารายงานเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ได้มีการพบหลุมศพหมู่ในสุสานอินดินในเมืองหม่องดอว์ รัฐยะไข่ และเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบ พร้อมกันนั้นยังให้ข้อมูลอีกว่า เพราะการก่อเหตุของกองกำลังกู้ชาติโรฮิงญาอาระกัน (ARSA) เมื่อ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความสงบในพื้นที่ จนทหารรัฐบาลต้องเข้าปฏิบัติการ ทหารได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติงานโดยเคารพกฎของการปะทะ และหากไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย 

อีกด้านหนึ่งหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์มีรายงานเรื่องปัญหาในรัฐยะไข่เข้ากับการจับกุมผู้สื่อข่าวสองคนของรอยเตอร์เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งทางการเมียนมาอ้างว่าทั้งสองพยายามจะดำเนินการอย่างผิดกฎหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลบางอย่างในรัฐยะไข่ นิวยอร์กไทมส์ระบุว่าชาวโรฮิงญาห้าคนในหมู่บ้านอินดิน ที่ซึ่งมีการพบหลุมศพหมู่ได้ถูกจับกุมพร้อมทั้งครูอีกสี่คนของโรงเรียนในหมู่บ้าน ญาติคนหนึ่งของครูที่ถูกจับให้ข้อมูลว่า พวกเขาถูกจับกุมเพราะให้รูปและเอกสารบางอย่างแก่นักข่าวรอยเตอร์ 

ด้านมิน จอ สมาชิกของสภาการหนังสือพิมพ์เมียนมาให้ความเห็นว่า เขาเชื่อว่าการจับกุมกลุ่มคนในหมู่บ้านอินดินมีความเกี่ยวพันกับการจับกุมนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งต้นสังกัดระบุว่า ได้ทำหน้าที่รายงานข่าวเรื่องการละเมิดสิทธิและปัญหาโรฮิงญามาโดยตลอด