นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่าฤดูฝนทุกปี จะมีเห็ดป่าขึ้นเองตามธรรมชาติ ประชาชนมักเก็บมาขายหรือนำมาปรุงอาหาร ซึ่งในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากการกินเห็ดพิษเป็นประจำ เนื่องจากเห็ดป่ามีทั้งเห็ดที่กินได้และเห็ดพิษ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-24 มิ.ย. 2561 ได้รับรายงานผู้ป่วยอาหารเป็นพิษจากการกินเห็ดพิษ 635 ราย และเสียชีวิต 3 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมา 45-54 ปี และ 55-64 ปี ตามลำดับ จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด 5 อันดับแรกคือ อุบลราชธานี อํานาจเจริญ ยโสธร ศรีสะเกษ และเลย เฉพาะในช่วงหน้าฝน 2 เดือนของปีนี้ (เดือนพ.ค.-มิ.ย. 2561) พบผู้ป่วยเพิ่มมากถึง 543 ราย
ล่าสุดข้อมูลในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 26 พ.ค.-20 มิ.ย. 2561) กรมควบคุมโรค ได้รับรายงานเหตุการณ์อาหารเป็นพิษจากการกินเห็ด จำนวน 3 เหตุการณ์ จากจังหวัดบึงกาฬ อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ โดยพบผู้ป่วยรวม 15 ราย ทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ ระหว่าง 51-89 ปี ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย ในบางเหตุการณ์ได้มีการทดสอบเห็ดตามภูมิปัญญาชาวบ้านแล้ว ด้วยการนำก้อนข้าวเหนียวลงไปแช่ในแกงเห็ด ปรากฏว่าข้าวไม่มีการเปลี่ยนสี จึงมั่นใจว่าไม่ใช่เห็ดพิษ
นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวว่า เห็ดที่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตส่วนใหญ่ คือ เห็ดระโงกพิษ บางแห่งเรียกว่าเห็ดระโงกหิน เห็ดระงาก หรือเห็ดไข่ตายซาก ซึ่งเห็ดชนิดนี้คล้ายคลึงกับเห็ดระโงกขาว หรือไข่ห่าน ที่สามารถกินได้ แต่แตกต่างกันคือ เห็ดระโงกพิษจะมีก้านสูง กลางดอกหมวกจะนูนเล็กน้อย มีกลิ่นค่อนข้างแรง นอกจากนี้ยังมีเห็ดป่าชนิดที่มีพิษรุนแรงคือ เห็ดเมือกไครเหลือง โดยประชาชนมักสับสนกับเห็ดขิง ซึ่งชนิดที่เป็นพิษจะมีเมือกปกคลุมและมีสีดอกเข้มกว่า ซึ่งยากแก่การสังเกตด้วยตาเปล่า
ทั้งนี้ ภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้ทดสอบความเป็นพิษของเห็ด เช่น การจุ่มช้อนเงินลงไปในหม้อต้มเห็ด การนำไปต้มกับข้าวสาร หรือใช้ปูนกินหมากป้ายที่ดอกเห็ด ถ้าเป็นเห็ดพิษจะกลายเป็นสีดำ เป็นต้น วิธีเหล่านี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิงในการใช้ทดสอบพิษกับเห็ดกลุ่มนี้ได้ โดยเฉพาะเห็ดระโงกพิษที่มีสารที่ทนต่อความร้อน แม้จะปรุงให้สุกแล้ว เช่น ต้ม แกง ยังไม่สามารถทำลายสารพิษนั้นได้
สำหรับอาการหลังกินเห็ดพิษ จะคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรือถ่ายอุจจาระเหลว ไม่ควรซื้อยากินเองหรือไปรักษากับหมอพื้นบ้าน การช่วยเหลือในเบื้องต้นคือ กระตุ้นให้ผู้ป่วยอาเจียน โดยให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ล้วงคอให้อาเจียน หรือดื่มน้ำอุ่นผสมเกลือแกงแล้วล้วงคอให้อาเจียนออกมา (วิธีนี้ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี) จากนั้นรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการกินเห็ดโดยละเอียดและนำตัวอย่างเห็ดพิษไปด้วย (หากยังเหลืออยู่) ควรให้ผู้ป่วยนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือนัดติดตามอาการทุกวันจนกว่าจะหายเป็นปกติ เนื่องจากเห็ดพิษชนิดร้ายแรงจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนในช่วงวันแรก แต่หลังจากนั้นผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงตามมาคือ การทำงานของตับและไตล้มเหลว อาจทำให้เสียชีวิตได้
"ขอเตือนประชาชนว่า หากไม่แน่ใจ ไม่รู้จัก หรือสงสัยว่าจะเป็นเห็ดพิษ ก็ไม่ควรเก็บหรือซื้อมาปรุงอาหาร ควรระวังในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือมีโรคประจําตัว ควรหลีกเลี่ยงการกินเห็ด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคตับและไต ซึ่งรวมถึงหลีกเลี่ยงการกินเห็ดร่วมกับดื่มสุรา เพราะฤทธิ์จากแอลกอฮอล์จะทำให้พิษเห็ดแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และทำให้อาการรุนแรงขึ้นด้วย หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422" นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าว
ขอขอบคุณภาพจาก : pr.moph.go.th // สาธารณสุขจังหวัดแม่ฮ่องสอน